วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

10 เทคนิคการถ่ายภาพที่ดี

1.มีกล้องติดตัวเสมอ
เพราะอะไรหรือ...ลองคิดดูครับหากคุณเจอภาพที่แบบว่าเกิดขึ้นอย่างฉับ
พลัน หรือ สิบปีมีหนหรือเกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจคุณจะเสียดายไปตลอดที่
คุณได้้พลาดโอกาสในการบันทึกภาพที่ยอดเยี่ยมเอาไว้ถ้าผมเป็นนักถ่าย
ภาพผมก็จะพกกล้องคู่ใจติดตัวไว้เสมอ แต่ไม่ใช่มาบอกว่า ปกติผมก็พก
อยู่ทุกวันแต่ทำไมรู้มั้ยครับ พวกนี้มันเอาไปแอบถ่ายใต้กระโปรงผู้หญิง
ตามสะพานลอยหรือไม่ก็ใต้โต๊ะกินข้าวกันไอ้พวกนี้เราขอยกเว้นพวกมัน
เอาไว้ฐานผิดกฏหมายที่สำคัญคุณต้องหัดฝึกติดกล้องเอาไว้ให้เป็นนิสัย
ไปเลย บางคนบอกว่ากล้องหนักแบกไม่ไหว ก็ให้ลองพกกล้องขนาดเล็ก
ไว้ก็ดี บอกแล้วเหตุการณ์ต่างๆมันเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่อึดใจ ดังรูป
ด้านซ้าย หากเจอพายุทอร์นาโดแบบนี้ คุณจะเก็บภาพมันมั้ยล่ะ


2. ใกล้ชิดสุดๆ
บางครั้ง เราอาจพบว่าภาพ Background ด้านหลังมันรกหูรกตาและ
ทุเรศ ก็ให้ใช้วิธี Zoom ภาพ เข้าไปใกล้เก็บรายละเอียดตัววัตถุที่ต้อง
การถ่ายให้เด่นชัดไปเลย ได้อารมณ์ดีกว่าเยอะ แต่ทั้งนี้คุณต้องเช็ค
กล้องถ่ายรูปของคุณก่อนนะครับ ไม่ใช่เอากล้องโหลยโท่ยมาซูม อาจจะได้ภาพไม่คมชัดเท่ากล้องระดับมืออาชีพก็เป็นได้ ต้องลองตรวจสอบคู่มือการใช้กล้องที่คุณซื้อมาให้ดี


3. เก็บภาพตอนคนกำลังวุ่นวาย
หากคุณใช้วิธีถ่ายภาพแบบเดิมๆ คือยืนหน้าตรงแล้วนับ 1..2..3 กดแชะ คิดภาพตามสิครับ มันไม่ต่างอะไรจากการยืนหน้าห้อยถ่ายรูปติดบัตร
ประชาชนหรอก ให้พยายามเก็บภาพคนแบบมีอารมณ์เคลื่อนไหว แสดงสีหน้าเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องให้คนโพสท่าแข็งเกินไปนัก ไม่งั้นจะได้ภาพที่ไม่ได้อารมณ์จริงๆ นี่ไม่ได้พูดเล่นแต่เป็น
ข้อแนะนำที่คุณควรเอาไปใช้ หัดแหวกแนวซะบ้าง อย่างในรูปด้าน
ข้างสังเกตใบหน้าของคู่นี้ ผ่อนคลายและได้อารมณ์สุดๆ


4. ใช้ Background พื้นๆช่วย
การใช้พื้น Background ที่มองดูธรรมดา จะช่วยเพิ่มความน่าสนในให้กับ
วัตถุที่คุณกำลังถ่าย ไม่ต้องไปหาอะไรมาเพิ่มเติมเสียให้วุ่นวายและไร้
สาระ เรียบๆนี่แหละมาตราฐานสากลนักแล เวลาถ่ายก็เคลื่อนกล้อง
เก็บภาพวัตถุและ Background ได้แบบในภาพด้านข้าง คลาสสิคแท้!!


5. ลองวางวัตถุไม่ต้องอยู่กลางภาพก็ได้นะ
ไม่ผิดอะไรหรอก หากคุณจะถ่ายภาพวัตถุให้อยู่ตรงกลางภาพไปเลย แต่บางทีมันเบสิคไปหน่อย บอกแล้วว่าเราต้องพยายามฉีกแนว ลองถ่ายให้มันอยู่ริมๆออกไปไม่ต้อง Center มากนัก
จัดองค์ประกอบให้เหมาะสม จะทำให้ภาพคุณมองดูเคลื่อน
ไหวได้และสร้างจุดสนใจแก่ดวงตาผู้ชม


6. เพิ่ม Foreground ให้ฉาก
เวลาถ่ายภาพอย่างภูมิประเทศ หรือ ภาพวิวที่งดงามเราควรจะหาวัตถ
ุที่ใช้เป็นภาพForeground ดูบ้าง เพราะจะทำให้ภาพแลดูเป็นมิติ มีความลึก มีระยะทาง ที่สำคัญทำให้ดูเหมือนว่าคุณก็มี Sense ในการถ่ายรูปที่ไม่ธรรมดา เช่นภาพด้านข้าง สังเกตจะมีแหของ
ชาวประมงเป็น Foreground ให้กับภาพ


7. การจัดแสงที่ดี
ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับนักถ่ายภาพเลยทีเดียว การจัดแสงให้ดีได้
จะเป็นการดึงเอาพลังของฟิล์มออกมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จะทำให้ภาพมีสัสัน น่าดึงดูด มีมิติ ทำให้วัตถุดูโดดเด่นและสวยงาม
เกินจริง แสงที่ดีที่สุดคือแสงจากดวงอาทิตย์นั่นเอง บางคนอาจจะมา
แหวกหน่อย คือชอบถ่ายโดยรอให้อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน หรือ
อึมครึม เพื่อจะได้แสงที่ต่างออกไป อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบครับ


8. เวลาถ่ายรูปมือต้องนิ่ง
สำคัญอีกเช่นกันเพราะหลายรูปที่ถ่ายออกมาแล้วเสียเพราะมีการทรงตัว
ไม่ดีพอ เวลาถ่ายใจต้องนิ่งอย่างหวั่นไหวกับเหตุการณ์รอบข้าง
ไม่งั้นภาพที่ถ่ายจะไม่คมชัด และเบลอ คุณต้องฝึกเวลาคุณกด
ชัตเตอร์ให้ดีๆ กดเบาๆนุ่มๆ แต่เฉียบ หรือบางครั้งหากคุณมีขาตั้งกล้อง ก็ใช้มันก็ได้ครับ


9. ใช้ Flash ช่วย
คุณสามารถทำให้ภาพถ่ายดูดีขึ้น โดยใช้ Flash ช่วยมันจะทำให้ภาพดู
แข็งขึ้นแต่คมกว่า เหมาะสำหรับการถ่ายภาพในร่ม หรือ สถานที่ที่
แสงน้อยเป็นต้น แต่บางครั้งการใช้ Flash ในการถ่ายนอกร่ม
จะทำให้ภาพดูนุ่มนวลและสว่าง


10. การเลือกใช้ฟิล์ม
ในบทความของ Kodak มาใช้ หากจะไม่แนะนำฟิล์มของ Kadak ก็คงจะน่าเกลียดเลยต้องแนะนำฟิล์มของเค้าหน่อย โดยส่วนใหญ่ที่คนนิยมกันจะเป็นฟิล์มความไวแสง 400, 200 และ 100 ราคาก็ตามจำนวนตัวเลขของความไวแสง ตัวเลขมากก็แพงกว่า แต่คุณภาพเหนือกว่า อย่างฟิล์ม
ความไวแค่ 100 คุณสามารถถ่ายได้กลางแดดที่มีแสงจ้า และแสงพอเพียง หากใช้ฟิล์ม 200 ก็สามารถถ่ายได้
ทั้งในร่มและนอกร่ม โดยอาจจะใช้ Flash ช่วย ส่วน 400 ก็ถ่ายได้แม้กระทั่งที่มืด โดยใช้ Flash ช่วยนะครับ ส่วนสีสันนี่ก็ดีกว่าฟิล์ม 100 และ 200

อ่าน ๆ ๆ *แล้วคุณจะรู้*

"Life is like a box of choclates."
- - Anonymous - -
ชีวิตก็เหมือนกล่องใส่ชอกโกแลตที่มีหลากหลายสีสันและรสชาติ


"Glory in life is not in never failing, But rising each time we fail."
- - Anonymous - -
ความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่การที่ไม่เคยพ่ายแพ้ หากแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง


"It is never too late to be what you might have been."
- - George Eliot - -
ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นในสิ่งที่คุณอยากจะเป็น


"Do not be too timid and squeamish about your actions. All life is an experiment."
- - Ralph waldo Emerson - -
อย่าขาดความมั่นใจในตัวเอง และตระหนกตกใจในสิ่งที่คุณทำ ทุกๆสิ่งคือประสบการณ์


"Learn from the mistakes of others.
You can''t live long enough to make them all yourself."
- - Anonymous - -
จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นเพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นได้ทั้งหมดในช่วงชีวิตของเราเอง


"Who never made a mistake never made a discovery."
- - Soren Kierkegaard - -
คนที่ไม่เคยกระทำผิดคือคนที่ไม่ได้ค้นหาสิ่งใด


"To follow, without halt, one aim: There is the secret of success."
- - Anna Pavlova - -
เคล็ดลับของความสำเร็จคือการเดินทางอย่างต่อเนื่องไปสู่จุดมุ่งหมาย


"Our deeds determine us, as much as we determine our deeds."
- - George Eliot - -
การกระทำตัดสินเราเท่าๆกับที่เราตัดสินใจกระทำ


"The difference between the impossible and the possible
lies in a man''s determination."
- - Tommy Lasorda - -
เส้นบางๆที่คั่นระหว่างความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้คือการตัดสินใจของเรา


"Well done is better than well said."
- - Ben Franklin - -
การลงมือทำดีกว่าคำพูดที่สวยหรู


"Do or do not; there is no try."
- - Yoda - -
การตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำ ไม่ต้องใช้พยายามแต่อย่างใด

คำคม...ชีวิตการทำงาน

ถ้าคุณเลือกทำงาน คุณจะประสบความสำเร็จ
ถ้าคุณไม่ คุณจะล้มเหลว


ถ้าคุณละเลยงานของคุณ คุณก็จะไม่ชอบมัน
ถ้าคุณมีความสุขกับมัน คุณก็จะทำมันได้ดี
ถ้าคุณร่วมกลุ่มสมัครพรรคพวกกลุ่มเล็กๆ คุณก็จะพอใจกับตัวเอง
ถ้าคุณมีเพื่อนฝูงมากหน้าหลายตา คุณน่าสนใจ


ถ้าคุณนินทา คุณก็จะได้รับการดูถูกใส่ร้ายป้ายสี
ถ้าคุณประพฤติดี คุณจะได้รับความนับถือ
ถ้าคุณเหยียบย่ำภูมิปัญญา ผู้คนก็จะเหยียบย่ำคุณ
ถ้าคุณแสวงหาภูมิปัญญา ผู้คนก็จะเสาะแสวงหาคุณ


ถ้าคุณมีท่าทางเบื่อหน่าย คุณก็จะน่าเบื่อ
ถ้าคุณสำแดงความมีชีวิตชีวา คุณก็จะเป็นคนกระฉับกระเฉง
ถ้าคุณใช้เวลากับการอ่าน การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและ
คิดพิจารณา สรรพสิ่งที่สำคัญ คุณก็จะเป็นคนที่มีความรู้มาก


ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในโลกนี้ ในขณะที่ก้าวเดินไปในชีวิต
คุณต้องสร้างโอกาสของตัวเองขึ้นมา อย่าเป็นคนที่รอให้มีคลื่นลูกที่ 7
พัดพา ตัวเองเข้าไปหาฝั่งที่แห้งสนิท เต็มไปด้วยโอกาสงาม
จะพบว่า เขาจะต้องรอนานทีเดียว กว่าจะเจอคลื่นลูกที่ 7 นั่น


ในเมื่อเราปักใจเลือกที่จะเดินไปตามทางที่ขรุขระกว่าหนทางทั่วไปเสียแล้ว เราก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจ ไว้พบกับอุปสรรคขวากหนามบ้าง ...เมื่อคาดการณ์และทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว ความเจ็บปวดที่จะได้รับหากเราก้าวพลาดพลั้งไป ก็จะเหลือเพียงอาการแสบๆคันๆไม่มากจนเกินทน


ใคร่ครวญต้องซ้ำๆ ลงมือทำต้องรวดเร็ว


การเริ่มต้น ควรเลือกสิ่งที่ใกล้ตัว และเลือกในสิ่งที่ตนเชื่อ ...ขอให้เรามีความตั้งใจแน่วแน่เสียอย่าง ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้


(สำคํญยิ่ง) จงตั้งมั่นอยู่ในค่านิยมของตน มิใช่ตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม..ยิ่งสังคมไทยดูอย่างไร ก็หนีไม่พ้นระบบศักดินา หรือการแบ่งชนชั้น แบ่งพรรค พวก ดูถูกคนด้อย ยกย่องคนรวย ..จึงยากมากกที่คนชั้นล่างจะลุกขึ้นลืมตาอ้าปากได้


ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ฟุ้งเฟ้อ เราต้องเตือนตนอยู่เสมอ ว่าเราต้องไม่อยากได้ อยากมี เพราะเหตุนี้ คนชั้นกลางส่วนใหญ่ที่อยู่ในสังคมเมือง จึงใช้ชีวิตเกินพอดี นิยมบัตรเครดิต บริโภคสินค้านำเข้า เพียงเพราะกลัวสังคมประนาม อาจเพราะสังคมไทยยกย่องพวกมีเงิน มากกว่าผู้ทำดี ผิดกับตะวันตก (เมืองนอก ไม่เห็นจะมีใครสนใจ ว่าเราขับรถอะไร เสื้อผ้ามียี่ห้อไหม งานทุกงานล้วนมีเกียรติเท่าเทียม แต่พอมาอยู่เมืองไทย ถ้าเราไม่มีจิตยึดมั่น และมีความมั่นคง มีความเชื่อ ความศรัทธา ในตนมากพอ ความคิดเดิมอาจถูกสังคมทำให้เปลี่ยนแปลง จากรถจิ๊ป เล็กๆ ต้องเปลี่ยนเป็น BMW ตามฐานะและเพื่อหน้าตาทางสังคม ถ้าเราไม่มีรายได้เกินพอสำหรับทรัพย์สินเทียมเช่นรถ :ก็ต้องมาผ่อนค่างวดกันอ่วมหลายปี...เราก็ต้องรู้จักประมาณตน รู้เป้าหมายและจุดยืนของตน (อดเปรี้ยวไว้กินหวาน) แม้น้ำน้อยจะแพ้ไฟ แต่ใช่ว่าเราจะเป็นเช่นนั้นนี่

ประโยชน์ของกล้วย

เราคงจะไม่ปฏิเสธว่า "กล้วย" เกี่ยวข้องและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง สิ้นอายุขัย...ในสมัยโบราณ เมื่อสตรีจะคลอดบุตรมักจะมีการจัดเครื่องบูชาสำหรับหมอตำแยเพื่อทำพิธีกรรมที่เป็น มงคลแก่แม่ และลูกที่จะคลอดออกมา เครื่องบูชามักจะประกอบด้วย ขันข้าว ซึ่งบรรจุด้วยข้าวสาร เงิน และสิ่งของต่าง ๆ ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน และในจำนวนนี้จะต้องมีกล้วยอยู่เสมอ เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 3 เดือน และพร้อมที่จะรับประทานอาหารอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว แม่จะเริ่มให้ลูกรับประทานกล้วยควบคู่กับนม เพราะเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และเป็นอาหารที่ย่อยง่ายเมื่อลูกโตขึ้น แม่ก็จะพยายามประดิษฐ์ของเล่นให้ลูก ของเล่นเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็มาจากกล้วย เป็นต้นว่า

-นำก้านกล้วยมาทำเป็นปืนเด็กเล่น

-นำก้านกล้วยมาทำเป็นม้าสำหรับขี่

-นำใบตองมาม้วนทำเป็นปี่สำหรับเป่า

-นำหยวกกล้วยมาทำเป็นทุ่น หรือแพ สำหรับหัดว่ายน้ำ

ในวัยศึกษาเล่าเรียน กล้วย ก็เข้ามาสู่ห้องเรียนในลักษณะต่าง ๆ เช่น
ผูกเป็นปริศนาให้ทาย เช่น "อะไรเอ่ย ต้นเท่าขา ใบวาเดียว"
ใช้เปรียบเทียบกับความงามของสุภาพสตรีในวรรณคดี เช่น "เรื่องกามนิต-วาสิฏฐี ที่ว่า ขาเธองามดุจลำกล้วย"
ใช้ในคำพังเพยเปรียบเทียบการทำลายล้างเผ่าพันธุ์อย่างถอนรากถอนโคลน "โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก"
ใช้ในสำนวนหรือคำพังเพยแสดงความหมายว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ เช่น ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เรื่องกล้วย ๆ กล้วยมาก
ตลอดช่วงชีวิตมนุษย์ สามารถใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของกล้วย เช่น ใช้เป็นอาหารคาว หวาน ใช้ประดิษฐ์เป็ฯของใช้ ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรค
ในงานบวช และงานมงคลต่าง ๆ กล้วย มักจะถุนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของงานในลักษณะต่าง ๆ เสมอ เช่น

ใบตองกล้วย ถูกนำมาใช้ประดิษฐ์เป็นบายศรีเป็นส่วนประกอบ ของพวงมาลัย

ก้านกล้วย และใบตอง นำมาใช้เป็นกระทง

กล้วยทั้งเครือ นำมาประดับบ้าน เวลามีงานมงคล

เมื่อถึงคราวที่หนุ่ม สาวจะเข้าสู่พิธีแต่งงานกล้วยจะเป็นพืชชนิดหนึ่ง ที่มักจะนำมาใช้ เป็นส่วนประกอบของงานเสมอ เช่น
ใช้ต้นกล้วยเป็นส่วนประกอบในขบวนแห่ขันหมาก
ใช้ผลกล้วย ใบกล้วย ก้าน และหยวกกล้วย เป็นส่วนประกอบในการประกอบพิธีการต่าง ๆ
ในการปลูกสร้างบ้านเรือนกล้วยจะเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำพิธียกเสาเอกลงหลุมโดยเขามัก จะใช้หน่อกล้วยและต้นอ้อยผูกไว้ที่ปลายเสาเอกและเมื่อทำพิธียกเสาลงหลุมเสร็จก็จะปลดเอาหน่อกล้วย และต้นอ้อย ไปปลูกไว้ในบริเวณใกล้บ้าน พยายามประคับประคองให้เจริญงอกงามเพราะถือว่าเป็น เครื่องเสี่ยงทายความอุดมสมบูรณ์ของเจ้าของบ้าน

จวบจนกระทั่ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มนุาย์เราก็ยังเกกี่ยวข้องกับกล้วยอย่างมิเสื่อมคลาย ในสมัยก่อน เขามักใช้ใบตองมารองศพ ใช้ต้นกล้วยมาสลักหยวก(แทงหยวก) ประดิษฐ์ในเมรุ หรือโลงศพ ใช้ต้นกล้วย ใบตอง ทำฐานเสียบดอกไม้ประดับในงานศพ "กล้วยเจ้าเอ๋ย...เจ้ามิเคยห่างหายไปจากข้าเราผูกพันกับเจ้า ตลอดมา และตัวข้าจะลืมเจ้าได้ฉันใดเล่าเพื่อนเอย"

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

"10 วิธีในการคลายความเครียด"

1. ฟังเพลง หามุมสงบ

นั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ

2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์

ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย

3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ

อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ

4. เขียนไดอารี่

การเขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ

5. พลังแห่งการสัมผัส

ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

6. สร้างอารมณ์ขัน

พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจง่ายๆจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง

7. สูดกลิ่นหอม

รู้หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ

8. ไปตากอากาศ

หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น

9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน

ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ

10. จินตนาการแสนสุข

อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจ

"อาหารขยะ" ก่อปัญหาเด็กอ้วน...



ปัญหาเด็กอ้วน กำลังคุกคามสังคมบริโภคนิยมในทุกๆประเทศ จากการศึกษาของศูนย์ควบคุมโรค สหรัฐอเมริกาพบว่า 20% ของนักเรียนเกรด 3 และ 21% ของนักเรียนเกรด 6 ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์กมีน้ำหนักเกิน หรืออ้วนโดยในเขตยากจนรอบนครนิวยอร์กมีประชาชน 15% เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งเกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

ปัญหาเด็กอ้วนในภูมิภาคเอเชียพบในประเทศอุตสาหกรรมใหม่ทั่วภูมิภาค สิงคโปร์เป็นประเทศหนึ่งที่ตระหนักถึงปัญหานี้ก่อนใครเพื่อน เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว รัฐมนตรีสาธารณสุข นายยอร์จ เยียวของสิงคโปร์ถึงกับประกาศโผงผางในงานแจกรางวัลประจำปีแก่เด็กปัญญาเลิศของสิงคโปร์ว่า ปัญหาความอ้วนในเด็กนอกจากทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพนานับประการแล้ว ความอ้วนยังคู่กับ “อาการฉลาดน้อย” อีกด้วย

เรื่องมีอยู่ว่า รัฐบาลสิงคโปร์ได้ทำการศึกษาผลการสอบของนักเรียนชั้นประถมปลายของเขาตั้งแต่ปี 1992-1993 แล้วพบความจริงที่น่าตกใจว่า เด็กๆที่เรียนเก่ง ระดับท็อปทั้งหลายของเขา มีเพียงร้อยละ 4-7 เท่านั้นที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ขณะที่เด็กกลุ่มที่อยู่ท้ายแถว สอบตกแล้วตกอีก ถูกพบว่ามีอัตราถึงร้อยละ 15-19 ที่มีปัญหาน้ำหนักเกิน

ผลวิจัยชิ้นนี้พิสูจน์อย่างเด่นชัดในข้อสรุปที่ว่า เด็กยิ่งอ้วนยิ่งมีโอกาสฉลาดน้อย แต่เขาก็พูดติดตลกว่า “อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า ใครๆมีลูกอ้วนและเรียนหนังสือไม่เก่ง ถ้าจับลูกไปรีดน้ำหนักลงเสีย แล้วจะเกิดอาการปัญญาดีขึ้นมาในบัดดล แต่การปล่อยให้เด็กอ้วนเอาอ้วนเอาจะมีผลทำให้เด็กไม่กระปรี้กระเปร่า ทั้งสติปัญญาทึบ และไม่มีความมั่นใจในตัวเองอีกด้วย”

ในประเทศไทยปัญหาเด็กอ้วนแพร่ระบาดมานานกว่า 10 ปีแล้ว และนับวันสถานการณ์จะเลวร้ายลงกว่าเดิม นักวิชาการคนแรกๆที่กล่าวเตือนปัญหาเด็กไทยกำลังอ้วนขึ้นอย่างมาก น่าจะเป็นพญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ขณะนั้นเธอทำวิจัยที่โรงเรียนเทศบาลที่หาดใหญ่ ในนักเรียน 1,373 คน พบว่าเด็กมีน้ำหนักเกินมารฐาน 11.5% ขณะที่เด็กกรุงเทพฯมีน้ำหนักเกิน 14% ซึ่งสถิตินี้สูงกว่าเด็กญี่ปุ่นเสียอีก เธอพบความจริงอีกประการหนึ่งว่า ถ้าศึกษาเปรียบเทียบความอ้วนของพ่อแม่เด็กด้วย จะพบว่า ถ้าทั้งพ่อแม่ผอม จะมีลูกอ้วนเพียง 2.6% ขณะที่พ่ออ้วนแม่อ้วนจะมีโอกาสมีลูกอ้วนถึง 23.3% ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เด็กๆเหล่านี้อ้วนจากพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อมอันได้แก่วิถีการกินอยู่ในบ้านกันแน่ เมื่อศึกษาเปรียบเทียบรายได้ของครอบครัวกับความอ้วน ก็พบว่า ครอบครัวยิ่งมีรายได้สูง เด็กก็ยิ่งอ้วน ทำให้เชื่อว่า ความอ้วนของเด็กมาจากความเคยชินในบ้านที่พ่อแม่สร้างกันขึ้นมามากกว่า

คุณหมอลัดดาตั้งข้อสังเกตว่า “สังคมเมืองมีแบบแผนชีวิตที่เปลี่ยนไป เด็กในเมืองกลับถึงบ้านจะมีโทรทัศน์ วิดีโอ เกมกดเป็นพี่เลี้ยง พฤติกรรมของเด็กไทยจะดูทีวีไป กินขนมไป เป็นประเภทอาหารถุง อาหารว่างพวกแป้ง ขนมกรุบกรอบ บะหมี่ซอง และน้ำอัดลม เกิดปัญหาใหม่คือ เด็กอ้วนเพิ่มขึ้น ที่คลินิกเด็ก จะมีพ่อแม่พาเด็กมาหาด้วยเรื่องอ้วนมากขึ้นทุกที”

อีกท่านหนึ่งที่กล่าวย้ำปัญหาความอ้วนของเด็กไทยคือ พญ.พรฑิตา ชัยอำนวย คณะแพทยศาสตร์ รพ.พระมงกุฎเกล้า ที่ชี้ถึงปัญหาเด็กอ้วน ก็จะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อ้วน ก่อปัญหาความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันเลือดสูง เบาหวาน และเกิดโรคข้อเสื่อมก่อนวัยอันสมควร

การป้องกันโรคมะเร็ง

โรคมะเร็งเป็นแล้วรักษายาก บางรายรักษาไม่หาย การป้องกันโรคมะเร็งมิให้เกิดกับทานและครอบครัวจึงเป็นวิธีที่ท่านสามารถนำไปปฏิบัติ การป้องกันมะเร็งทำได้ไม่ยาก

เนื้อหาที่จะเกล่าเป็นแนวทางในการดูแลตัวเองให้แข็งแรงและลดปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็ง แนวทางการป้องกันมะเร็งได้มาจากสมาคมการวิจัยเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง


American Institute for Cancer Research ดังนี้

เลือกอาหารที่มาจากพืช

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้ทราบแล้วว่าอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่มาจากพืชรวมทั้งการรักษาน้ำหนักที่

เหมาะสม และการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านโรคมะเร็ง เนื่องจากสารอาหาร วิตามินในพืชสามารถทำให้ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ได้ดี ยับยังการ

เจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังทำลายสารที่จะก่อให้เกิดมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการรับประทานผักและผลไม้เพิ่ม 2 หน่วยร่วมกับการออกกำลังกายเพิ่ม

จะสามารถป้องกันมะเร็งได้ร้อยละ 60-70 เช่นการเปลี่ยนขนมปังธรรมดาเป็นขนมปังธัญพืช

ให้รับประทานอาหารพวกผักชนิดใหม่ๆซึ่งจะเพิ่มความอยากรับประทานอาหารพวกผัก

ให้มีอาหารพร้อมปรุงที่ทำจากพืชไว้ในตู้เย็นเช่นพวกถั่วต่างๆ อาหารแช่แข็ง ผลไม้กระป๋อง

ให้ใช้ถั่วในการปรุงอาหารเช่นผสมในสลัด ใส่ถั่วในส้มตำ ใส่ถั่วในแกง อาจจะใช้ถั่วได้หลายชนิดเช่น ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแขก เม็ดมะม่วงหิมะพาน

ให้รับประทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์สัปดาห์ละครั้ง

หัดปรุงอาหารที่ทำจากพืช

รับประทานผักและผลไม้เพิ่ม

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาหารที่เรารับประทานควรจะมาจากพืชเสีย 2/3 เช่นผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว ส่วนที่เหลือ 1/3 มาจากเนื้อสัตว์และนม วิธีการที่จะรับ

ประทานเนื้อสัตว์ให้ลดลงทำได้ดังนี้

ใช้เนื้อเพียงแค่ปรุงรสเท่านั้น ไม่ใช่อาหารหลักอย่างบ้านเราทำกันคือผัดผักใส่หมูหรือกุ้งเพื่อปรุงรสและกลิ่น

รับประทานอาหรโปรตีนที่ทำจากพืชเช่น เนื้อปลอมที่ทำจากถั่วเหลืองหรือจากเห็ด

เลือกอาหารว่างที่ทำจากพืช เช่น น้ำผลไม้ ผลไม้ต่างๆ

เลือกผลไม้กระป๋องไว้ประจำบ้าน ควรเลือกผลไม้ที่บรรจุในน้ำผลไม้หรือน้ำไม่ควรใส่น้ำหวานหรือเกลือ


รับประทานผักใบเขียวให้มาก

มื้อกลางวันให้รับประทานสลัด

ใช้รับผลไม้หลังจากรับประทานอาหาร

หากท่านรับประทานผักและผลไม้มากเท่าใดท่านจะได้รับสารอาหาร วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นเท่านั้นซึ่งจะต่อสู้กับมะเร็ง

รักษานำหนักที่เหมาะสมและออกกำลังกายเป็นประจำ

น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับท่านควรอยู่ระหว่างดัชนีมวลกาย 18.5-23 สำหรับท่านที่น้ำหนักน้อยก็ต้องรับประทานอาหารเพิ่ม หากรับประทานไม่พอก็ต้องรับ

ประทานอาหารเสริมเพิ่มขึ้น โรคอ้วนทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากมายสำหรับท่านที่มีน้ำหนักเกินท่านต้องรับประทานอาหารน้อยลง วิธีการรับประทานอย่าง

ฉลาดมีดังนี้

อ่านฉลากอาหารทุกครั้ง หากปริมาณสารอาหารที่ท่านซื้อมากเกินไปท่านต้องแบ่งอาหารออกมา เพื่อมิให้ได้รับพลังงานเกินไป

อย่าอดอาหารเป็นมือเพราะท่านจะรับประทานมากขึ้นในมื้อต่อไป

เลือกอาหารว่างอย่างฉลาดควรจะเลือกพวกผักและผลไม้

ให้รับประทานเมื่อท่านหิวเท่านั้น อย่ารับประทานเพราะว่าอร่อย หรือว่ากำลังเหงา ควรหางานอดิเรกทำเพื่อจะได้ไม่รับประทานมากเกินไป

อาหารพวกผักและผลไม้จะมีไขมันต่ำ หากอาหารหลักของท่านเป็นอาหารเหล่านี้โอกาสที่จะอ้วนก็มีน้อย

การออกกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ท่านแข็งแรง ลดความเครียดได้ ทำให้เจริญอาหารและการขับถ่ายดีขึ้นวิธีการที่จะเริ่มออกกำลังกายอย่างง่ายๆ

เริ่มทีละเล็กน้อยค่อยๆเพิ่ม อย่าหักโหมเพราะจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ

การเดินเป็นวิธีที่ดีและง่าย

ให้กระฉับกระเฉงเช่น การขึ้นบัดได การเดินไปทำงาน การล้างรถหรือถูบ้าน

ท่านที่สุดอายุหรือมีโรคเข่าเสื่อมอาจจะเริ่มออกกำลังในน้ำเพราะจะใช้แรงไม่มากและไม่เป็นอันตรายต่อข้อ

ลดการดื่มสุราและสูบบุหรี่

จากการวิจัยพบว่าการดื่มสุราก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพแต่การดื่มไวน์แดงก็อาจจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกับการรับประทานองุ่นเพราะมีสาร

resveratrol

หากไม่เคยดื่มสุราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเริ่มดื่ม

หากจะดื่มสุราก็ให้ดื่มไม่เกิน 1 หน่วยสุรา

หากไปงานเลี้ยงก็ไม่ควรใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ผสม

การสูบบุหรี่จะทำให้เกิดมะเร็งได้หลายระบบ การเลิกสูบบุหรี่จะทำให้ลดการเกิดมะเร็งได้ร้อยละ 30
เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันต่ำ


เชื่อว่าอาหารมันและเกลือจะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans-fats ('partially hydrogenated' oils). ซึ่งไขมันทั้งสองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งและโรคหัวใจ แต่มิได้ห้ามรับประทานอาหารมันเพราะอาหารมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ไม่ควรรับมากเกินไป
ปรุงอาหารอย่างถูกต้อง


การปรุงอาหารพวกเนื้อสัตว์โดยเฉพาะการย่างด้วยไฟอุณหภูมิที่สูงจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เนื่องจากน้ำมันที่ถูกไฟไหม้จะก่อให้เกิดสาร polycyclic aromatic hydrocarbons ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ควรจะเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นเช่น การอบ การใช้microwave การต้ม การทอดในน้ำ วิธีการที่จะลดการเกิดสารก่อมะเร็งมีดังนี้


อย่าย่างเนื้อสัตว์หลายชนิดในไม้เดียวกัน เพราะเนื้อทุกชนิดสามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ ให้เลี่ยงไปย่างผักหรือผลไม้แทนเนื้อสัตว์

เลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมัน และให้ตัดไขมันออกจากเนื้อสัตว์ให้หมด
ให้หมักเนื้อนั้นก่อนปรุงอาหารโดยเฉพาะการหมักด้วยมะนาวจะช่วยลดสารก่อมะเร็งให้หมักก่อนปรุง 15-20 นาที ไม่ควรหมักด้วยน้ำมัน


ไม่ควรเผาเนื้อสัตว์ ให้หุ้มเนื้อสัตว์ด้วย foil อาจจะทำให้เนื้อสัตว์สุขด้วยการต้ม อบหรือmicrowave > แล้วจึงนำมาเผาภายหลัง

อย่ารับประทานเนื้อสัตว์ที่ไหม้ ให้ตัดส่วนที่ไหม้ออก
การย่างหรือเผาอาหารพวกผักไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง