วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แมนำน่ากลัวที่สุดในโลก













วันคริสต์มาส



ประวัติวันคริสต์มาส

คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก



คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส



ต้นคริสต์มาส

"ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น

ซานตาครอส



ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้าเป็นการป่วยทั้งร่างกาย จิตใจและความคิด ซึ่งผลของโรคกระทบต่อชีวิตประจำวันเช่นการรับประทานอาหาร การหลับนอน ความรับรู้ตัวเอง ผู้ป่วยไม่สามารถประสานความคิด ความรู้สึกของตัวเพื่อแก้ปัญหา หากไม่รักษาอาการอาจจะอยู่เป็นเดือน

โรคซึมเศร้ามี 3 ชนิด คือ
1. Major depression ผู้ป่วยจะมีอาการ(ดังอาการข้างล่าง)ซึ่งจะรบกวนการทำงาน การรับประทานอาหาร การนอน การเรียน การทำงาน และอารมสุนทรีย์ อาการดังกล่าวจะเกิดเป็นครั้งๆแล้วหายไปแต่สามารถเกิดได้บ่อยๆ
2. dysthymia เป็นภาวะที่รุนแรงและเป็นเรื้อรังซึ่งจะทำให้คนสูญเสียความสามารถในการทำงานและความรู้สึกที่ดี
3. bipolar disorder หรือที่เรียกว่า manic-depressive illness ผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ซึ่งบางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะค่อยเป็นค่อยไป เวลาซึมเศร้าจะมีอาการมากบ้างน้อยบ้าง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นช่วงอารมณ์ mania ผู้ป่วยจะพูดมาก กระฉับกระเฉงมากเกินกว่าเหตุ มีพลังงานเหลือเฟือ ในช่วง mania จะมีผลกระทบต่อความคิด การตัดสินใจและพฤติกรรมผู้ป่วยอาจจะหลงผิด หากไม่รักษาภาวะนี้อาจจะกลายเป็นโรคจิต
สาเหตุของโรคซึมเศร้า
1. พันธุ์กรรม พบว่าโรคซึมเศร้าชนิด bipolar disorder มักจะเป็นในครอบครัวและต้องมีสิ่งที่กระตุ้น เช่นความเครียด
2. มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองหรือสารเคมีในสมองการเปลี่ยนแปลงของสมดุลของสารเคมี ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง มีผลต่ออารมณ์ซึมเศร้าของคน (โดยเฉพาะสารสีโรโทนิน นอร์เอปิเนพริม และโดปามีน)
3. ผู้ที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
4. โรคทางกายก็สามารถทำให้เกิดโรคซึมเศร้า เช่นโรคหัวใจ อัมพาต ทำให้ผู้ป่วยมาสนใจดูแลตัวเองโรคจะหายช้า
5. มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในเลือด เช่นวัยทอง หรือหลังคลอดก็สามารถทำให้เกิดอาการซึมเศร้า
6. ความเครียดที่เกิดจากสาเหตุต่างเช่น การสูญเสีย การเงิน การงาน ปัญหาในครอบครัวก็สามารถเป็นเหตุให้เกิดโรงซึมเศร้า
7. ผู้ที่เก็บกดไม่สามารถแสดงอารมณ์ออมา เช่นดีใจ เสียใจหรืออารมณ์โกรธ
8. ผู้ที่ด้อยทักษะต้องพึ่งพาผู้อื่น

ผู้หญิงจะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ชาย 2 เท่าเชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเช่น การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ การแท้ง ภาวะหลังคลอด วัยทอง เป็นต้น นอกจากนั้นยังอาจจะเกิดจากความเครียดที่ต้องรับผิดชอบทั้งในบ้านและงานนอกบ้าน การรักษาให้ญาติเข้าใจภาวะของผู้ป่วยและให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย

การรักษา
1. การช้อคไฟฟ้า Electroconvulsive therapy (ECT) เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นรุนแรง หรือผู้ที่ไม่สามารถรับประทานยา๖นโทมนัส หรือใช้ยาแล้วไม่ได้ผล
2. การใช้ยาต้านโทมนัส ยาที่ใช้รักษามีด้วยกันหลายกลุ่มได้แก่
2.1 selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs)
2.2 tricyclics
2.3 monoamine oxidase inhibitors (MAOIs) ผู้ที่รับประทานยากลุ่มนี้จะต้องระวังอาหารที่มีส่วนผสมของ tyramine ซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตขึ้นสูง อาหารดังกล่าวได้แก่ cheeses, wines, pickles, ยาลดน้ำมูก แพทย์อาจจะเลือกใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งหรือใช้ยาหลายชนิดรวมกัน โดยมากจะเริ่มเห็นผลใน 2-3 สัปดาห์และให้รับประทานต่อไปประมาณ 1 เดือนยาจะออกฤทธิ์เต็มที่เมื่อรับยาไปแล้ว 8 สัปดาห์ ช่วงแรกของการรับประทานยาอาจจะเกิดผลข้างเคียงของยาก่อนจะเห็นผลดีให้รับประทานต่อ เมื่ออาการดีขึ้นอย่าเพิ่งหยุดยาจนกระทั่งไปทำงานได้โดยจะต้องรับประทาน 4-9 เดือน โดยแพทย์จะค่อยๆหยุดยาเพื่อให้ร่างกายปรับตัว.....

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันคริสต์มาส

คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส


ต้นคริสต์มาส
ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น


ซานตาครอส
ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

วันพ่อ

ประวัติ
วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา หลักการและเหตุผลที่มีการจัดตั้งวันพ่อขึ้นแห่งชาติ เนื่องจากพ่อ เป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนและตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" เพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะ “พ่อแห่งชาติ” ซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา อีกทั้งยังทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงขจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น “พ่อแห่งชาติ” ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป





วัตถุประสงค์
-เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
-เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
-เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ
-เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เอดส์





เอดส์ มาจากภาษาอังกฤษว่า AIDS ซึ่งย่อมาจากคำเต็มว่า Acquired Immuno Deficiency Syndrome

สาเหตุการติดเชื้อ

เชื้อไวรัสเอชไอวีพบในเลือดและสารคัดหลั่งหลายชนิดของร่างกาย ได้แก่ น้ำอสุจิ เมือกในช่องคลอดสตรี น้ำนม น้ำลาย และอาจพบได้ในปริมาณน้อยๆ ในน้ำตาและปัสสาวะ เมื่อพิจารณาจาก แหล่งเชื้อแล้วจะพบว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีติดต่อได้ หลายวิธีคือ

- การมีเพศสัมพันธ์ เกิดขึ้นได้ทั้งการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน และกับเพศตรงข้าม
- การรับเลือดและองค์ประกอบของเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะรวมทั้งไขกระดูกและน้ำอสุจิที่ใช้ผสมเทียมซึ่งมีเชื้อ แต่ในปัจจุบันปัญหานี้ได้ลดลงไปจนเกือบหมด เนื่องจากมีการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีในผู้บริจาคเหล่านี้ รวมทั้งคัดเลือกกลุ่มผู้บริจาคซึ่งไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ไม่รับบริจาคเลือดจากผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น เป็นต้น
- การใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาเสพติดร่วมกันและของมีคมที่สัมผัสเลือด
- จากมารดาสู่ทารก ทารกมีโอกาสรับเชื้อได้หลายระยะ ได้แก่ เชื้อไวรัสแพร่มาตามเลือดสายสะดือสู่ทารกในครรภ์ ติดเชื้อขณะคลอด จากเลือดและเมือกในช่องคลอด ติดเชื้อในระยะเลี้ยงดูโดยได้รับเชื้อจากน้ำนม จะเห็นได้ว่าวิธีการติดต่อเหล่านี้เหมือนกับไวรัสตับอักเสบบีทุกประการ ดังนั้นถ้าไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ก็จะไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ด้วย

แนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อผู้ป่วยเอดส์ที่สำคัญในปัจจุบัน

มีอยู่สองแนวทาง ที่ต้องให้การดูแลควบคู่กันไปคือ

1. การป้องกันและรักษาโรคฉวยโอกาส ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส (ที่สำคัญคือ หลายโรคป้องกันได้ และทุกโรครักษาได้)
2. การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อลดปริมาณไวรัสในเลือดให้น้อยที่สุดและควบคุมปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจะส่งผลให้ระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ลดโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคฉวยโอกาส

อาการ

ภายหลังการได้รับเชื้อ ร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อ ในปัจจุบันในการวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่ เราไม่ได้ตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่เป็นการตรวจว่าร่างกายเรามีปฏิกิริยาต่อเชื้อหรือไม่ โดยการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV antibody) ซึ่งการตรวจดังกล่าวอาจให้ผลลบได้ในกรณีที่ได้รับเชื้อมาใหม่ ๆ เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้สร้างปฏิกิริยาตอบสนอง

ภายหลังการรับเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่ว ๆ ไป เช่น มีไข้ ผื่นตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ อาการมักกินเวลาสั้น ๆ และหายไปได้เอง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใด ๆ เลย

เชื้อไวรัสจะส่งผลให้ระดับเม็ดเลืดขาวที่เรียกว่าซีดีโฟร์ลดลงอย่างช้า ๆ จนผู้ป่วยเริ่มเกิดอาการของเอชไอวีเกิดขึ้น เช่นฝ้าในปาก ผึ่นคันตามตัว น้ำหนักลด โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการเมื่อระดับซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 cell/mm3

อัตราเฉลี่ยของประเทศไทยตั้งแต่รับเชื้อจนเริ่มป่วยใช้เวลา 7-10 ปี ในช่วงที่เรามีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกายแต่ไม่ป่วยเพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันที่ยังควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ เรียกว่า เป็นผู้ติดเชื้อ และเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายเหลือจำนวนน้อย จนไม่สามารถควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้ทำให้เราป่วยด้วยเชื้อโรคนั้น ๆ เรียกว่าเราเริ่มมี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นผู้ป่วยเอดส์ โรคที่เราป่วยเนื่องจากภาวะภูมิบกพร่อง เรียกว่า โรคฉวยโอกาส

30 ปีน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย

เมื่อหลายปีก่อนนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มได้ค้นคว้าวัยเกี่ยวกับน้ำแข็งในขั้วโลกลเหนือว่า 80% ของแผ่นน้ำแข็งทั้งหมดจะละลาย
ในอีก 90 ปีข้างหน้าแต่หลังจากที่ ได้ทำการวิจัยใหม่โดยคำนวนกับข้อมูลจาก ผลกระทบของภาวะโลกร้อน แล้ว ทำให้ได้ผลลัพย์
ที่น่าเป็นห่วงยิ่งนักเพราะ เวลานั้นลดลงเหลือแค่ 30 ปีเท่านั้นก่อนที่น้ำแข็งขั้วโลกเหนือจะละลาย

“หลังจากฤดูร้อนปีนี้จำนวนแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมมหาสมุทรที่ขั้วโลกเหนือนั้นอาจจะลดลงเหลือแค่ประมาณ 1 ล้านตาราง
กิโลเมตร” นักวิจัยในสหรัฐผู้เขียน The Study published Thursday ได้ทำนายไว้







“เมื่อเปรียบเทียบพื้นที่น้ำแข็งในขณะนี้ซึ่งมีมากถึง 4.6 ล้านกิโลเมตร”
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำแบบจำลองขึ้นมาโดยจำลองการเปลี่ยนแปลงของน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือ เหมือนในฤดูร้อนปี 2007 และ
2008 ซึ่งพื้นที่ๆ ปกคลุมด้วยน้ำแข็งนั้นลดลงถึง 300,000 ตารางกิโลเมตร จาก 4.6 ล้านตารางกิโลเมตรเหลือแค่ 4.3ล้านตารางกิโลเมตรโดยผลการจำลองการเปลี่ยนแปลงของน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือนั้นออกมาแล้วว่าอีก 32 ปีข้างหน้ามีสิทธิที่น้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกเหนือจะละลาย แต่ยังมีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มออกมาบอกว่าอีกแค่ 11 ปีเท่านั้นน้ำแข็งจะละลาย
แต่การที่น้ำแข็งละลายนั้นทำให้คนบางกลุ่มออกมาบอกว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งสำหรับการส่งสินค้าทางเรือ หรือ การขุดเจาะน้ำมัน

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วัยรุ่นไทยเกินครึ่ง สนใจการทำศัลยกรรมความงาม




ผลสำรวจเด็กดีโพลพบว่า ปัจจุบัน ศัลยกรรมความงามไม่เพียงได้รับความสนใจแพร่หลายและเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่เชื่อถือได้ ทำให้การทำศัลยกรรมความงามไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างเมื่อก่อนเท่านั้น แต่ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจกว่าคือ เยาวชนไทยสนใจทำศัลยกรรมความงามมากถึง 57.77% หมายถึงกลุ่มคนที่สนใจและเริ่มทำศัลยกรรมความงามมีอายุเฉลี่ยลดลง หรือหมายถึงคนที่มีอายุน้อยเริ่มสนใจทำศัลยกรรมมากขึ้นนั่นเอง โดยจากการสำรวจแยกตามช่วงอายุพบว่า เยาวชนไทยช่วงอายุ 18-22 ปี เป็นกลุ่มที่สนใจทำศัลยกรรมความมากที่สุดถึง 68.88%
เมื่อสอบถามเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำศัลยกรรมพบว่า เยาวชน 59.82% ให้ความไว้วางใจในความปลอดภัยจากการศัลยกรรมความงาม นั่นหมายความว่า ปัจจุบันวัยรุ่นมีทัศนคติที่ดีต่อการศัลยกรรมเสริมความงามมากขึ้น ทั้งในด้านของการให้การยอมรับต่อตัวผู้ทำศัลยกรรมความงาม และความเชื่อถือในตัวศัลยแพทย์อีกอีกด้วย


"จมูก" เป็นอวัยวะที่นิยมศัลยกรรมความงามมากที่สุด
ปัจจุบัน อวัยวะชิ้นเล็กแต่โดดเด่นที่สุดในใบหน้าอย่างจมูก กลับได้รับความนิยมในการทำศัลยกรรมมากที่สุด โดยพบว่า ในกลุ่มเยาวชนที่เคยทำศัลยกรรมเสริมความงามนั้น มีเยาวชนที่เคยทำศัลยกรรมจมูกแล้วถึง 59.25% รองลงไปคือการลบรอยแผลเป็น รักษาผิวหรือทำหน้าใส 46.82% ขณะที่อวัยวะที่เคยได้รับความนิยมและตกเป็นข่าวดังจากผลข้างเคียงของการศัลยกรรมในช่วงหนึ่งอย่างการเสริมหน้าอกมีเพียง 1.73% เท่านั้น
แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันแม้ทัศนคติของวัยรุ่นต่อการทำศัลยกรรมความงามจะมีแนวโน้มที่ดีและได้รับความสนใจมากขึ้น แต่การตัดสินใจทำหรือไม่ทำนั้น ก็ยังขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคมว่า ต้องสวย ต้องดูดี จึงจะได้รับความสนใจ ดังที่สังเกตได้จากการสำรวจเหตุผลของการตัดสินใจทำศัลยกรรมความงามที่พบว่า เยาวชนไทย 81.82% ตัดสินใจทำศัลยกรรมความเพราะต้องการให้ตนเองดูดีขึ้น




วัยรุ่นไทยเกือบครึ่ง "อยากทำ" แต่ยังหวั่น "ผลกระทบ"
แม้ว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่จะให้ความสนใจในการทำศัลยกรรมความงาม โดยเชื่อถือในมาตรฐานและความปลอดภัย แต่อย่างไรก็ดี ยังมีวัยรุ่นอีกเกือบครึ่งที่สนใจทำศัลยกรรมความงามแต่ยังกังวลต่อผลกระทบและผลข้างเคียงที่ตามมา โดยมีวัยรุ่นถึง 41.42% ที่ยังไม่สนใจทำศัลยกรรมความงามเพราะกลัวอันตราย ขณะที่ มีเพียงส่วนน้อยที่ให้เหตุผลของการไม่ทำศัลยกรรมความงามว่ากลัวไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม
นั่นแสดงให้เห็นว่า ความไม่มั่นใจในความปลอดภัยรวมถึงการที่สังคมไม่ยอมรับดังกล่าว อาจเป็นผลมาจากข่าวผลข้างเคียงและผลกระทบจากการทำศัลยกรรมความงามที่ถูกนำเสนอออกมาเป็นระยะ เช่น ข่าวการเสพติดศัลยกรรม ข่าวการฉีดสารบางอย่างเข้าร่างกายโดยไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ ข่าวผลกระทบต่างๆ จากการศัลยกรรมผิดกฎหมาย หรือไม่ได้มาตรฐานและความปลอดภัย รวมถึงการไม่มีกฎหมายบังคับเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมกระทั่งก่อให้เกิดคดีความหลากหลายตามมา รวมถึงกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่ทำศัลยกรรมความงามว่าทำแล้วดีหรือไม่ดี




วัยรุ่นเชื่อ "หมอเก่ง" และศัลยกรรมความงามทำให้ "ดูดีขึ้น"
จากการสอบถามความคิดเห็นของวัยรุ่นที่ทำศัลยกรรมความงามแล้วพบว่า ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมความงามได้มีการค้นคว้าข้อมูลและสอบถามผู้รู้จนแน่ใจ โดยยอมรับว่าตัดสินใจทำเพราะเชื่อว่าจะช่วยเสริมบุคลิก ทำให้ตนเองดูดีขึ้น ทั้งนี้ได้มีการปรึกษาผู้ปกครองก่อน ส่วนผลที่ออกมาหลังจากทำศัลยกรรมความงามแล้ว โดยรวมมีความพอใจ แต่หากจะให้แนะนำผู้อื่นต่อ คงให้เพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจ แต่จะไม่ชี้นำ
ด้านวัยรุ่นที่ไม่ได้ทำศัลยกรรมและไม่คิดจะทำให้ความเห็นว่ากลัวเจ็บ และกังวลว่าผลจะออกมาไม่ดีอย่างที่คิด แต่ทั้งนี้ก็เชื่อว่า สมัยนี้แพทย์มีความชำนาญและน่าเชื่อถือมากขึ้น

มี "ตัวอย่าง" จึงอยากทำ หรือไม่อยากทำตาม "ตัวอย่าง"
อย่างไรก็ดี ความคิดเห็นของเยาวชนไทยที่เข้ามาทำการสำรวจโพลครั้งนี้ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการทำศัลยกรรมเสริมความงาม ซึ่งผู้ที่เห็นด้วยยอมรับว่า การทำศัลยกรรมเสริมความงามแทบจะถือว่าเป็นเรื่องปกติในสังคมปัจจุบัน อีกทั้งให้ความสำคัญกับใบหน้าเป็นหลัก โดยเลือกทำศัลกรรมที่ใบหน้าก่อน รวมถึงผิวพรรณก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยกลุ่มที่เห็นด้วยให้ความเชื่อถือในความปลอดภัยจากการทำศัลยกรรมเสริมความงาม โดยบางส่วนมีตัวอย่างมาจากการทำศัลยกรรมเสริมความงามของศิลปินดาราที่ทำแล้วดูดีขึ้น ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยนั้น กังวลถึงอันตรายเป็นหลัก อาจเพราะ มีตัวอย่างจากผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการทำศัลยกรรมความงาม ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว อีกทั้งยังมองว่าไม่มีความจำเป็น และยังเป็นความสิ้นเปลือง เนื่องจากไม่มีความจำเป็นในการใช้รูปร่างหน้าตาในการประกอบอาชีพเหมือนศิลปินดารา ทั้งนี้ศิลปินดาราต่างก็มีความโดดเด่นอยู่แล้ว จึงยากที่จะเลียนแบบ อีกทั้งการทำศัลยกรรมความงามนั้น ยังต้องคำนึงถึงโครงสร้างร่างกายเป็นหลักอีกด้วย อย่างไรก็ดี จากผลสำรวจดังกล่าวประกอบกับความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องยืนยันได้ว่า แม้ทัศนคติของเยาวชนไทยต่อการทำศัลยกรรมจะเปลี่ยนแปลงไปและมีแนวโน้มว่าจะเริ่มทำกันมากขึ้น แต่ด้านแพทย์ก็ไม่ละทิ้งเรื่องของมาตรฐานและความปลอดภัย ส่วนผู้ที่สนใจจะทำก็มีการค้นคว้าข้อมูลประกอบเพิ่มขึ้น อีกทั้งส่วนมากยังอยู่ในความยินยอมของผู้ปกครอง ดังนั้น สิ่งที่น่ากังวลในลำดับต่อไปคงไม่ใช่เรื่องของผลกระทบจากการทำศัลยกรรมเสริมความงาม แต่เป็นค่านิยมของสังคมปัจจุบันว่า คนที่ดูดี หน้าตาดี เท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและดูแลอย่างใกล้ชิด

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อัญชัน : กินก็ได้ ทาก็ได้




อัญชันเป็นไม้เลื้อย ดอกอัญชันมีทั้งดอกซ้อนและดอกเดี่ยว (ดอกลา) มีทั้งอัญชันดอกขาว และอัญชันดอกน้ำเงิน ที่นิยมใช้มาปลูกผมปลูกคิ้วคือดอกม่วง คนยุค 2000 จะรู้จักอัญชันจากแชมพูสระผม และครีมนวดผม ที่มีการนำสาร สกัดจากอัญชันผสมลงไป เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า อัญชันช่วยปลูกผมปลูกคิ้ว ดังเช่นในกาพย์ห่อโครงนิราศธารอโศกบรรยายไว้ว่า

"อัญชันคิดอัญชัน ทาคิ้วมันกันเฉิดฉาย ชำเลืองเยื้องตาชาย ชายชมนักมักแลตาม"

อัญชันจึงเป็นเครื่องสำอางสำหรับสาวสมัยก่อน ที่ยังไม่มีเทคโนโลยีในการเขียนคิ้วถาวร ทั้งช่วยทำให้คิ้วมันเฉิดฉายและช่วยปลูกคิ้ว ในเด็กที่ผมบางก็มักนิยมใช้อัญชันไปขยี้ทาหนังศ๊รษะไว้ เชื่อว่าน้ำคั้นจากดอกอัญชันทำให้ผมดกดำได้ ที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะว่า ดอกอัญชันมีสารแอนโทรไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเล็กๆ ทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมมากขึ้น ดอกสีน้ำเงิน มีสารจำพวกแอนโธไซยานิน (anthocyanin) ซึ่งเป็นสารที่จะเปลี่ยนสีตามความเป็นกรดด่าง ถ้าสภาพออกมาทางด่างจะให้สีน้ำเงินเข้ม ถ้าสภาพออกไปทางกรดจะให้สีออกแดง สีจากดอกอัญชันนิยมแต่งสีน้ำเงินในขนมต่างๆ เช่น ขนมเรไร ขนมขี้หนู ขนมน้ำดอกไม้ ขนมชั้น และยังสามารถทำให้ได้สีม่วง โดยนำดอกอัญชันมาบดเติมน้ำเล็กน้อย กรองคั้นเอาแต่น้ำซึ่งจะได้สีน้ำเงิน เติมมะนาวลงไปเล็กน้อยจะได้สีม่วง

นอกจากใช้อัญชันแต่งสีผสมอาหารแล้ว บางท้องที่ยังนิยมทำน้ำดอกอัญชันดื่มแก้กระหายอีกด้วย วิธีทำก็ง่ายมาก เพียงใส่น้ำลงในหม้อสัก 4 แก้ว ต้มให้เดือด หลังจากนั้นใส่ดอกอัญชันสดหรือแห้งก็ได้ประมาณ 1 หยิบมือ (4 กรัม) ต้มต่อสัก 5 นาที จะได้น้ำอัญชันสีน้ำเงินสวยใส ใส่น้ำตาลกรวดพอหวาน จะดื่มแบบร้อนหรือเย็นก็ได้ ปัจจุบันพบว่า สารแอนโธไชยานินที่มีอยู่มากในดอกอัญชันนี้ มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ เช่น การเพิ่มความสามารถในการมองเห็น เนื่องจากสารตัวนี้ไปเพิ่มการไหลเวียนในหลอดเลือดเล็กๆ เช่น หลอดเลือดส่วนปลาย การเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดส่วนปลายนี้ จะทำให้กลไกที่ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็นแข็งแรงขึ้น เพราะมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น

มีการศึกษาวิจัยทางคลินิก เกี่ยวกับความสามารถของสารแอนโธไซยานิน ในการเพิ่มประสิทธิภาพของตา เช่น ตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน โรคต้อหิน โรคต้อกระจก เป็นต้น สารแอนโธไซยานินนี้ จะพบในผลไม้และดอกไม้ที่มีสีน้ำเงิน สีแดง หรือสีม่วง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) จากธรรมชาติ โดยที่พืชจะสร้างสารนี้มา เพื่อป้องกันดอกหรือผลตัวเอง จากอันตรายของแสงแดดหรือโรคภัยของตัวเอง

คงไม่ต้องเดาว่า ถ้าเราจะทำน้ำดอกอัญชัน หรือผสมอัญชันเป็นสารแต่งสีในขนมต่างๆ เช่นขนมชั้น ขนมขี้หนู วุ้นกระทิ ถั่วแปบ ซ่าหริ่ม ขนมเรไร ขนมน้ำดอกไม้ เหล่านี้นั้น จะมีประโยชน์อย่างไรต่อสุขภาพ ตำรายาไทยยังได้กล่าวถึงสรรพคุณของอัญชันไว้ว่า รากมีรสเย็นใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ เป็นยาระบาย ช่วยบำรุงสายตา แก้ตาอักเสบ ตาฟาง ตาแฉะ นอกจากนี้ยังมีการนำรากอัญชันมาถูฟันแก้ปวดฟัน ทำให้ฟันคงทนแข็งแรง เมล็ดใช้เป็นยาระบายแต่จะทำให้คลื่นไส้อาเจียน

อัญชันปลูกง่ายมีสีสวย นิยมปลูกเป็นไม้ประดับและยังสามารถใช้เป็นเครื่องสำอางชั้นดีได้อีกด้วย

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ภัยดัดฟันแฟชั่น



หมอแฉภัยแฟชั่นโจ๋ ดัดฟันเก๊! ทำจากลวดตากผ้า
ทันตแพทยสภาแฉสาวแฟชั่นฟันเหล็ก หันไปเล่นของปลอมตามตลาดนัดแผงลอยกันมาก เพราะราคาแค่ 50 บาทเท่านั้น ส่งผลให้เป็นโรคเหงือกเป็นแผลกันมาก แฉน่ากลัวสุดๆ ลวดดัดฟันทำจากลวดราวตากผ้าธรรมดานี่เอง มีส่วนผสมของโลหะอันตรายที่ดูดซึมเข้าร่างกายได้ ทั้งสารหนู สารตะกั่ว สารแคดเมียม แถมไม่มีตัวล็อกแบบของมาตรฐาน อาจพลัดหลุดลงคอถึงตายได้ แฟชั่นการจัดฟันแบบผิดๆ ที่แม้จะราคาเพียง 50-120 บาท แต่ถ้าเกิดปัญหาในช่องปาก จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาฟัน เหงือก และโรคต่างๆ ที่ตามมาอีกมากมาย ตามมาอีกมากมาย ความสวยงามที่แลกด้วยความเจ็บปวด เสียสุขภาพปากนั้นไม่คุ้มค่า แฟชั่นจัดฟันไม่ได้มีแค่ในเด็กมหาวิทยาลัยหรือมัธยม แต่ระบาดลามไปถึงเด็กประถมแล้ว เพราะลวดจัดฟันปลอมมีราคาถูก เข้าใจว่าประเทศไทย เป็นแห่งเดียวที่มีลวดจัดฟันปลอม คงเป็นต้นกำเนิดแฟชั่นแบบนี้ ซึ่งทางทันตแพทยสภาได้ทำหนังสือไปถึงรมว.สาธารณสุข กองประกอบโรคศิลปะ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ให้ตรวจสอบดำเนินความผิดกับพ่อค้าหัวใสแล้ว ส่วนท.พ.ญ.นฤมล ทวีเศรษฐ์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาทันตกรรมจัดฟัน ร.พ.รามาธิบดี กล่าวว่า การจัดฟันเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น แต่ราคาค่อนข้างแพงประมาณ 600-2,000 บาท จึงมีการใส่เครื่องมือเลียนแบบทันตแพทย์จัดฟัน ชนิดถอดได้และติดแน่น ชนิดถอดได้มีลักษณะคล้ายฟันปลอม มีฐานพลาสติกถอดได้ ลวดที่จัดฟันอาจมีลูกปัดติดตรงตำแหน่งหน้าฟัน ส่วนฐานพลาสติกมีหลายสีตามจินตนาการของผู้ใช้ อาจมีรูปการ์ตูนหรือดารา ขณะทำเครื่องมือชนิดนี้ต้องพิมพ์ปาก เพื่อนำไปเทปูนปลาสเตอร์ เครื่องมือที่ใช้กับคนไข้ต้องไม่ซ้ำกัน ป้องกันการติดเชื้อ แต่ที่ทำอยู่นี้ไม่ใช่ทันตแพทย์ แล็บทำฟันปลอมก็ใช้แม่พิมพ์ซ้ำกัน อาจนำเชื้อโรคจากปากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ง่าย เป็นความไม่สะอาดที่มองไม่เห็น ทำให้กดฟันหรือเหงือกจนเลือดออก ขณะที่ลวดที่ไม่ใช่ทันตแพทย์จัดฟันใช้ก็อาจเป็นสนิมได้ ฟันที่เรียงตัวดีๆ อาจเปลี่ยนทิศทาง มากขึ้น ท.พ.สมชาย กิจสนาโยธิน ประชาสัมพันธ์ทันตแพทยสภา กล่าวว่า


ปัญหาอีกเรื่องที่ได้รับการร้องเรียนมากเกือบทั่วทุกภาค คือมีคนอ้างตัวเป็นหมอฟันรับทำฟันปลอม ด้วยการหิ้วกระเป๋าใบเล็กๆ มีน้ำยา 2-3 ขวด และฟันปลอมพลาสติกเป็นแผง ออกไปให้บริการใส่ฟันปลอมติดแน่นตามหมู่บ้านชนบท โดยแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้นายหน้า มักปฏิบัติการเป็นทีมประมาณ 5-6 คน อ้างว่าเป็นชาวไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี ทำเป็นพูดไทยไม่ชัด และสามารถทำฟันปลอมติดแน่นในเวลารวดเร็ว ราคาเพียง 2,000-3,000 บาท ใช้ได้ทันทีไม่ต้องไปคลินิกหรือร.พ. แต่ผลของการติดฟันปลอมเหล่านี้คือ บางคนเคี้ยวอาหารไม่ได้เลย บางคนน้ำลายไหลออกตลอดเวลา เป็นแผลเต็มปาก มีเลือดไหล และปากเหม็นมาก มีรายหนึ่งนอนตัวสั่นเป็นไข้ ญาติต้องรีบเหมารถส่งร.พ. ขณะที่อีกรายฟันปลอมที่ใส่ไม่แน่น ตกลงไปในลำคอขณะทานอาหาร ต้องรีบส่งโรงพยาบาลเพื่อเอาออก เกือบเสียชีวิต อีกทั้งลวดที่ทำจะหนาประมาณ 1-2 ม.ม. พลาสติกส่วนเกินจะบาดเหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปาก ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจเกิดมะเร็งในช่องปากได้ "ขณะนี้โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เปิดบริการใส่ฟันปลอม สำหรับประชาชนที่มีบัตรทองทุกคน และในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุ 80 พรรษา กระทรวงสาธารณสุขจึงเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุใส่ฟันปลอมทั้งปากหรือบางส่วนฟรี ซึ่งสามารถไปขอลงทะเบียนรับบริการได้ที่หน่วยงานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง ได้ตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา"


ไดโดเสาร์

ไดโนเสาร์ คืออะไร ในสมัยดึกดำบรรพ์มีจริงหรือไม่ สูญพันธุ์ ไปหมดแล้วจริงหรือ เราศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์ได้อย่างไรและอีกหลากหลาย คำถามที่ต้องการค้นหาคำตอบ




คำว่าไดโนเสาร์ ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2384 โดยนาย ริชาร์ด โอเวนนักกายวิภาค วิทยา ชาวอังกฤษ ตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกสัตว์ชนิดหนึ่งที่ขุดพบในรูปของซากดึกดำบรรพ์ เป็น โครงกระดูกขนาดใหญ่ โดยนายริชาร์ด ใช้คำว่า ไดโนเสาร์เพราะมาจากภาษาอังกฤษว่า dinosaurs เป็นคำผสมจากภาษากรีก ว่า deinos ซึ่งแปลว่า น่าเกลียดน่ากลัว กับคำว่า sauros แปลว่า กิ้งก่า ดังนั้น ไดโนเสาร์ จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า กิ้งก่าที่น่าเกลียด น่ากลัว ซึ่งอาจจะน่ากลัวในสายตาของนายริชาร์ด และอาจจะไม่น่ากลัวเลยในสายตาของนักวิทยาศาสตร์บางคนความรู้เกี่ยวกับไดโนเสาร์นั้น ส่วนใหญ่ได้มาจากซากดึกดำบรรพ์ที่เรียกตามศัพท์วิทยาศาสตร์ว่า ฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นฟอสซิลโครงกระดูก รอยเท้า เปลือกไข่ อุจจาระ ตลอดจนกลายสภาพเป็นหินแข็งอยู่ภายใต้ผิวโลก ครั้นเวลาผ่านไปเปลือกโลกมีการเคลื่อนตัว ซากฟอสซิลเหล่านี้จึงปรากฏบนพื้นผิวโลกให้เห็นตามที่ต่าง ๆ เป็นหลักฐานศึกษาการวิวัฒนาการของไดโนเสาร์ได้เป็นอย่างดี ความจริงแล้วมนุษย์เคยค้นพบกระดูก และรอยเท้าไดโนเสาร์มาเป็นเวลานานแล้ว เพียง แต่ว่าผู้คนยุคต้น ๆ นั้น คิดว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ของกิ้งก่า มังกรหรือแม้กระทั่งนกกาเหว่า ยักษ์ จนกระทั่ง นายริชาร์ด ได้ให้ความเห็นว่า โครงกระดูกของสัตว์เหล่านั้น เป็นของสัตว์ กลุ่มหนึ่งที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงใกล้ชิดกับพวกกิ้งก่า แต่ไม่จัดเป็นพวกกิ้งก่า ซึ่งถ้าดูจากโครงสร้างของโครงกระดูกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน พอจะแยกออกได้เป็น 7 ลักษณะ นักโบราณคดีและนักชีววิทยา ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้ว่า ถ้าแบ่งช่วงเวลาที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ในโลก จะแบ่งออก
ได้เป็น 3 ช่วง คือ

1. ช่วงไตรแอสสิก (Triaassic) เป็น
ช่วงแรกของการเกิดไดโนเสาร์ คือ
ประมาณ 250- 205 ล้านปีมาแล้ว

2. ช่วงจูราสสิก (Jurassic) เป็น
ช่วงที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ประมาณ
205-135 ล้านปีมา แล้ว ในช่วงนี้มีไดโนเสาร์หลากหลายชนิด ทั้งมีเขาไม่มีเขา มีเกราะ ไม่มีเกราะ คอยาว คอสั้น ตลอดจนวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์ปีก

3. ช่วงครีเตเชียส (Cretaceous)
เป็นช่วงที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ประมาณ
135-66 ล้านปีมาแล้วเป็นช่วงสุดท้าย
ของไดโนเสาร์ซึ่งจะมีวิวัฒนาการสูงสุด
และสูญพันธุ์ไปในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ดอกลาเวนเดอร์ช่วยลดความตื่นเต้นได้



ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยเซนทรัล แลงแคชเชียร์ ของอังกฤษ ได้พบในการศึกษา ด้วยการคอยตรวจวัดดูอัตราการเต้นของหัวใจ ของกลุ่มสตรีที่ให้ดูภาพยนตร์เรื่องตื่นเต้นน่ากลัว เมื่อได้ดมน้ำหอมกลิ่นดอกลาเวนเดอร์ไปด้วย พบว่าจะไม่ค่อยเต้นเร็วขึ้นเท่าใด แสดงว่าอยู่ในภาวะผ่อนคลาย ตลอดเวลาของการชม ในขณะที่กลุ่มผู้ชายที่เปรียบเทียบกัน กลับมีอาการตื่นเต้นมากกว่า อย่างเช่น เหงื่อมือออก แม้ว่าจะดมกลิ่นน้ำหอมด้วยเหมือนกัน
หัวหน้าคณะนักวิจัย บอกชี้แจงว่า ยังไม่ทราบสาเหตุว่า ทำไมน้ำหอมจึงมีผลแต่กับผู้หญิงเท่านั้น ก่อนหน้านี้เมื่อปีกลาย นักวิจัยของวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจลอนดอน ก็เคยรายงานว่า กลิ่นหอมๆ ช่วยให้บรรดาคนไข้ที่มาคอยรอรับการรักษา คลายความรู้สึกร้อนอกร้อนใจลงได้ พร้อมกับเสนอด้วยว่า ควรจะมีการปล่อยกลิ่นหอม ตามห้องคนไข้ที่มารอหาหมอ ซึ่งเหมือนกับเป็นการให้การบำบัดรักษาถึงที่


ประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ในกระเทียม




กินเป็นประจำทำให้ผิวหนังสะอาด >> กระเทียมจะช่วยเข้าไปทำความสะอาดเลือด ทำให้ผิวหนังดูดีขึ้น และยังช่วยรักษาผิวหนังที่เป็นตุ่มแผล ด่างดำ สิว และฝี อีกด้วย

ช่วยลดความดัน >> การกินกระเทียมจะช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะจะช่วยเข้าไปขยายเส้นเลือดให้กว้างขึ้น

ป้องกันหลอดเลือด >> พืชสมุนไพรชนิดนี้สามารถป้องกันผนังหลอดเลือดไม่ให้หนาและแข็งตัวได้ เพราะกระเทียมจะช่วยเข้าไปยับยั้งการสร้างสารกรมโปเซนบี 2 ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูงอีกด้วย

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ภาวะโลกร้อน (Global Warming)



ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)

ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect)แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบันภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง

ภาวะโลกร้อนเป็นภัยพิบัติที่มาถึง โดยที่เราทุกคนต่างทราบถึงสาเหตุของการเกิดเป็นอย่างดี นั่นคือ การที่มนุษย์เผาผลาญเชื้อเพลิงฟอซซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เพื่อผลิตพลังงาน เราต่างทราบดีถึงผลกระทบบางอย่างของภาวะโลกร้อน เช่น การละลายของน้ำแข็งในขั้วโลก ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ความแห้งแล้งอย่างรุนแรง การแพร่ระบาดของโรคร้ายต่างๆ อุทกภัย ปะการังเปลี่ยนสีและการเกิดพายุรุนแรงฉับพลัน โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ประเทศตามแนวชายฝั่ง ประเทศที่เป็นเกาะ และภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอย่างเอเชียอาคเนย์ จากการทำงานของคณะกรรมการของรัฐบาลนานาชาติ ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีองค์การวิทยาศาสตร์ ได้ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ เฝ้าสังเกตผลกระทบต่างๆ และได้พบหลักฐานใหม่ที่แน่ชัดว่า จากการที่ภาวะโลกร้อนขึ้นในช่วง 50 กว่าปีมานี้ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นในทุกหนทุกแห่ง ประมาณ 1.4-5.8 องศาเซลเซียส

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี



ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจ

โรงแรมอวกาศ



คงไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เพราะอีกไม่นานนี้ “กาแล็กติก สวีท สเปซ รีสอร์ต” (Galactic Suite Space Resort) ในบาร์เซโลนา เตรียมเปิดให้บริการลูกค้าเข้าพักในโรงแรมกลางอวกาศเป็นครั้งแรกแล้ว โดยจะเปิดให้บริการในปี 2012 ถึงแม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์และตั้งคำถามถึงแหล่งเงินลงทุนตลอดจนกรอบเวลาที่ไม่น่าเป็นไปได้สำหรับโครงการมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์นี้

โดยบริษัทกาแล็กติก สวีทได้ตั้งราคาค่าบริการสำหรับลูกค้าที่ต้องการเข้าพักในโรงแรมอวกาศแห่งแรกของโลกไว้ที่ 3 ล้านยูโร (ราว 148 ล้านบาท) โดยคิดรวมค่าที่พักสามคืนและการฝึกอบรมก่อนขึ้นสู่อวกาศจริงอีก 8 สัปดาห์บนเกาะแห่งหนึ่ง

ในระหว่างเข้าพักในโรงแรมอวกาศ ลูกค้าจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นวันละ 15 ครั้ง และท่องรอบโลกครบหนึ่งรอบทุกๆ 80 นาที โดยลูกค้าจะต้องสวมชุดเวลโคร (velcro)แบบมีตะขอเกี่ยวเพื่อให้สามารถไต่ไปตามผนังภายในยานอวกาศ ได้อย่างคล่องแคล่วประดุจ “สไปเดอร์แมน”





ข่าวล่าสุดได้รายงานว่าตอนนี้ฐานการบินอวกาศ “New Mexico of Spaceport America” กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยฐานการบินนี้จะเป็นฐานการบินอวกาศแห่งแรกที่รองรับลูกค้าในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอวกาศที่กำลังอยู่ในขั้นบุกเบิกนี้

ริชาร์ด แบรนสัน ชาวอังกฤษเจ้าของบริษัทท่องอวกาศ “เวอร์จิน กาแล็กติก” จะใช้ฐานการบินแห่งนี้ในการส่งนักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นไปท่องอวกาศแบบไม่ครบวงโคจรรอบโลก โดยคิดค่าบริการ 200,000 ดอลลาร์ต่อเที่ยว

“กาแล็กติก สวีท” ก่อตั้งเมื่อปี 2007 และคาดว่าจะเริ่มโครงการท่องเที่ยวในอวกาศด้วย แคปซูล “ห้องชุดโรงแรม” เพียง 1 ชุด ซึ่งลอยอยู่ที่ระดับความสูง 450 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก และเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 30,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีขีดความสามารถที่จะรับรองลูกค้าได้ 4 คนกับนักบินอวกาศอีก 2 คน

สำหรับการเดินทางไปยัง “ห้องชุด” นี้จะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันครึ่ง คลารามุนต์เปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนกับการเดินทางไปพักผ่อนอย่างสงบเงียบบนภูเขา ซึ่งจะไม่มีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับเมื่อนักเดินทางไปถึงจุดหมาย
เมื่อนักท่องเที่ยวเข้าไปอยู่ในจรวดแล้ว ก็จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น -ในจรวดและในแคปซูล เป็นเวลาสามวันด้วยกัน โดยเราได้วางระบบที่จะทำให้นักท่องเที่ยวมั่นใจว่าจะไม่ถูกทอดทิ้ง หลังจากนั้นครบสามวันแล้ว นักท่องเที่ยวก็จะกลับเข้าสู่จรวดขนส่งและเดินทางกลับสู่พื้นโลก” ทั้งนี้ที่ผ่านมา มีผู้แสดงความสนใจเดินทางไปพักผ่อนในโรงแรมอวกาศของกาแล็กติก สวีทแล้วกว่า 200 คนแล้ว และมีอย่างน้อย 43 คนที่ได้จองที่พักแล้วด้วย ขณะที่เวอร์จิน กาแล็กติก ก็มียอดผู้จองหรือชำระค่าท่องเที่ยวในอวกาศแล้วถึงราว 300 คนเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม กาแล็กติก สวีทระบุว่าบริษัทจะใช้จรวดของรัสเซียในการส่งลูกค้าขึ้นสู่อวกาศโดยมีฐานส่งจรวดอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งในแคริบเบียนซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ทำให้มีผู้วิจารณ์ว่ากรอบเวลาที่บริษัทตั้งไว้นั้นดูไม่สมเหตุสมผล และยังตั้งคำถามด้วยว่าบริษัทได้เงินสนับสนุนโครงการมาจากแหล่งใด ซึ่งคลารามุนต์ตอบว่ามีมหาเศรษฐีนิรนามผู้สนใจเรื่องอวกาศอย่างมากได้ให้เงินสนับสนุนโครงการของเขาถึง 3,000 ล้านดอลลาร์

เขาค้อ

เขาค้อ ดินแดนแห่งขุนเขาและทะเลหมอก จังหวัดเพชรบูรณ์ เหตุที่เรียกเขาค้อเพราะสภาพในป่านั้นมีต้นค้อขึ้นมากกว่าพื้นที่อื่น ภูเขาที่สำคัญในเทือกนี้ได้แก่ เขาค้อ มียอดเขาสูงประมาณ 1,174 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เขาย่า มียอดสูงประมาณ 1,290 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และเขาใหญ่สูงประมาณ 865 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล นอกจากนั้นก็มี เขาตะเคียนโง๊ะ เขาหินตั้งบาตร เขาห้วยทราย เขาอุ้มแพ เป็นต้น ลักษณะป่าไม้ในแถบนี้มีเขตป่าเต็งรังหรือป่าไม้สลัดใบ ป่าสน และป่าดิบที่น่าสนใจคือ พันธุ์ไม้ ตระกูลปาล์ม ลักษณะคล้ายต้นตาล แต่ออกผลเป็นทะลายคล้ายหมาก แม้ปัจจุบันป่าจะถูกถางไปมากแล้วก็ตาม แต่ในเขตเขาค้อก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง ภูมิอากาศบนเขาค้อเย็นตลอดปี และค่อนข้างเย็นจัดในฤดูหนาว








น้ำตกศรีดิษฐ์

เป็นน้ำตกหินชั้น มีน้ำตกตลอดทั้งปี เคยเป็นที่อยู่ของผกค. มาก่อน มีครกตำข้าวที่ ผกค. สร้างขึ้นโดยใช้พลังน้ำตก และที่นี่เป็นที่พักผ่อนรับประทานอาหารและเล่นน้ำได้ การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 2196 ถึงหลักกม.ที่ 17 แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 2325 อีกประมาณ 10 กม.แล้วแยกขวาเข้าน้ำตก





เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุเขาค้อ และหอสมุดนานาชาติเขาค้อ
ตั้งอยู่บนยอดเขาติดกับหอสมุดนานาชาติเขาค้อ บ้านกองเนียม ต.เขาค้อ ที่ยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งอันเชิญมาจากประเทศศรีลังกา เจดีย์แห่งนี้ชาวเพชรบูรณ์สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ในวันสำคัญทางศาสนาจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวมาร่วมกันประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเช่น พิธีเวียนเทียน เป็นประจำ

ในเดือนธันวาคมของทุกปีจะมีการจัดงาน "วันนัดพบเอกอัครราชทูต ณ เขาค้อ" โดยเชิญเอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆมาร่วมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมของจังหวัด






แม่ฮ่องสอน วัดพระธาตุ ดอยกองมู







วัดพระธาตุดอยกองมู ตั้งอยู่บนดอยกองมูทางทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เดินทางโดยแยกจากทางหลวงสาย 108 ตรงบริเวณอนุสาวรีย์พระยาสิงหนาทราชาขึ้นไปทางซ้ายมือ เป็นทางลาดยางขึ้นภูเขาไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณวัด




วัดพระธาตุ ดอยกองมู เดิมมีชื่อเรียกว่า วัดปลายดอย เป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญ ประกอบด้วยพระธาตุเจดีย์ที่สวยงาม 2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่สร้างโดย จองต่องสู่ เมื่อ พ.ศ. 2403 เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระ ซึ่งนำมาจากประเทศพม่า ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ. 2417 โดย พระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก จากวัดพระธาตุดอยกองมูนี้สามารถมองเห็นภูมิประเทศและสภาพตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้อย่างชัดเจนและสวยงามมาก วัดนี้มีงานเทศกาลประจำปีหลายงาน เช่น ในวันปีใหม่ วันสงกรานต์ โดยเฉพาะในวันออกพรรษาจะมีการตักบาตรดาวดึงส์ หรือตักบาตรเทโวด้วย






หมากฝรั่ง




แรกเริ่มนายพลอันโตนิโอ โลเปซ เอ็ก ซานตา อันนา แห่งเม็กซิโก ชอบเคี้ยวยางไม้จากต้นไม้ในป่าเม็กซิโก ที่ชาวเม็กซิโกรู้จักกันในชื่อชิคลิ ทำให้โทมัส อดัมส์ นักประดิษฐ์ สนใจและพัฒนาหมากฝรั่งออกมาเป็นเม็ดกลมเล็กๆ แต่ยังไม่มีรสชาติวางขายครั้งแรกปีค.ศ.1871 (พ.ศ.2414) ราคาเม็ดละ 1 เพนนี ในร้านขายยาเมืองโฮโบเค็น รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา จากนั้นค่อยๆ แปลงโฉมเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมแบนๆ


ต่อมา เภสัชกรจอห์น คอลแกน เติมรสชาติให้เป็นหมากฝรั่งรสขี้ผึ้งหอมทูโล ซึ่งเป็นตัวยาทางการแพทย์ รสชาติคล้ายยาแก้ไอน้ำเชื่อมของเด็ก และตั้งชื่อว่าแทฟฟี-ทูโล จากนั้นโทมัส อดัมส์เติมรสชะเอมและตั้งชื่อสินค้าว่าแบล๊กแจ๊ก ซึ่งเป็นหมากฝรั่งเติมรสรุ่นเก่าแก่ที่สุดที่ยังมีขายในปัจจุบัน


สำหรับหมากฝรั่งรสยอดนิยมเปปเปอร์มินต์ เกิดขึ้นในปีค.ศ.1880 (พ.ศ.2423) โดยนายวิลเลียม เจ.ไวต์ ผสมน้ำเชื่อม ข้าวโพด และเติมรสด้วยเปปเปอร์มินต์ ขณะที่หมากฝรั่งเป่าลูกโป่งเกิดขึ้นในปีค.ศ.1906 (พ.ศ.2449) โดย 2 พี่น้องเฮนรี่และแฟรงก์ ฟลีเออร์ แต่คุณภาพไม่ดีนักเป่าแล้วมักแตกและติดหน้าเหนอะหนะ จนในปีค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) วอลเตอร์ เดมเมอร์ พัฒนาหมากฝรั่งชนิดนี้จนเป่าได้โตเป็น 2 เท่าจากเดิม และตั้งชื่อว่า "Double Bubble"

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นครปฐมก็มีสิ่งที่สวยงาม..









วันฮาลาวีน** (Harvest)



วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป



บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน 'All Souls' พวกเขาจะเดินร้องขอ 'ขนมสำหรับวิญญาณ' (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น


ประวัติ

ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ 'ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก' แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว' Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้