วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิธีป้องกันตนเองจาก ไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ ชนิด A 2009 H1N1 ที่ระบาดในประเทศเม็กซิโก

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ ชนิด A 2009 H1N1 ที่ระบาดในประเทศเม็กซิโก หรือ Swine Influenza คือ โรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (มักจะเป็นเชื้อ Influenza type A เป็นส่วนใหญ่) สามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ได้หลากหลายดังเช่นไข้หวัดใหญ่ที่พบทั่วไป สายพันธุ์ที่พบได้บ่อยคือ H1N1 และสายพันธุ์อื่นๆ

ผู้เชี่ยวชาญไข้หวัดหมู คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ไข้หวัดหมูในเมืองไทยมีอยู่แล้ว และโชคดีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่รุนแรงเท่ากับเม็กซิโก ประกอบกับระบบการเลี้ยงหมูของบ้านเราดีกว่า ไม่มีการเลี้ยงต่างสายพันธุ์จึงลดโอกาสผสมผสานของเชื้อได้ ประกอบกับไม่มีการทำวัคซีนหมู ส่วนไข้หวัดหมูเม็กซิโกในบ้านเรายังไม่มี ซึ่งไข้หวัดหมูเม็กซิโกเกิดจากกลายพันธุ์ที่มีการผสมผสานยีนต์ต่างๆ ซึ่งไข้หวัดหมูเม็กซิโก คาดว่าจะมีเชื้อหวัดนกและหวัดคนไปสู่หมู และจากคนสู่คน กลายเป็นคนเป็นพาหะที่เป็นจุดสำคัญ

ส่วนความต่างระหว่างไข้หวัดหมูกับไข้หวัดนกนั้น ไข้หวัดนกจะไปทุกระบบของร่างกาย แต่หวัดหมูจะไปเฉพาะทางเดินลมหายใจ เมื่อลมหายใจล้มเหลวก็ตายได้ ทั้งนี้การรับประทานเนื้อหมูไม่มีปัญหาที่น่ากลัว เพราะจะเกิดจากคนในการแพร่โรค ที่เดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยเฉพาะจุดที่มีความเสี่ยง

องค์กรอนามัยโลกแนะวิธีป้องกันตนเองจาก ไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ ชนิด A 2009 H1N1 ที่ระบาดในประเทศเม็กซิโก

...........................................

องค์การอนามัยโลกก็ออกมาย้ำอีกครั้งว่า การบริโภคเนื้อหมูจะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ โดยระบุว่า ไวรัสดังกล่าวจะตายในอุณหภูมิ 70 องศาสเซลเซียส หากมีการปรุงสุกแล้วจะไม่มีการติดเชื้อใดๆ ขณะเดียวกันก็เสียงถามจากประชาชนมากมายถึงวิธีเบื้องต้นในการป้องกันตัวเอง ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคติดต่อของสหรัฐฯหรือCDC ได้บอกวิธีง่ายๆก็คือ

1.ต้องล้างมือด้วยสบู่และน้ำอุ่นประมาณ 20 ครั้งต่อวัน เนื่องจากพบว่า การติดเชื้อร้อยละ 80 เกิดจากการสัมผัสมือ ถ้าไม่สามารถล้างมือตามปกติได้ก็ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 60%

2.สวมหน้ากากป้องกัน ทาง CDC แนะนำหน้ากากยี่ห้อ เวน วีร่า รุ่น N99 ซึ่งมีขนาดความกว้าง 100 คูณจะช่วยป้องกันได้ดีกว่า และเป้นหน้ากากที่ผลิตออกมาเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสชนิดแรกของโลก สวมใส่ง่าย สามารถพูดและหายใจได้สะดวกและพูด ควรจะพกติดตัวกรณีต้องเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ

3.หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่ม แต่หากจำเป็นจะต้องไปจริงๆก็ให้ใช้เวลาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พยายามอยู่ห่างจากบุคคลที่คาดว่าจะติดเชื้อ 6 ฟุต และสวมใส่หน้ากากตลอดเวลา

4.ตื่นเต้นและเฝ้าระวังตลอดเวลา หากรู้สึกผิดปกติเช่นมีอาการไข้หรือเป็นหวัด ให้ไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากไข้หวัดหมู มีอาการคล้ายกับไข้หวัดปกติ

5.ตัวยาที่เชื้อไวรัสตัวนี้ตอบสนองมี 2 ชนิดคือ ทามิฟลู และ รีเลนซ่า และมีอาการดื้อต่อยาต้านไวรัสสองชนิดได้แก่ ซิมมีเทรล และ ฟลูมิดีน

วิธืทำเค้ก




วิธีทำเค้กแต่ละชนิด

เค้กที่มีไขมันเป็นส่วนผสมหลักมีด้วยกัน 3 วิธี คือ

วิธีที่1.ครีมเนย .

เป็นวิธีการผสมโดยตีไขมันกับน้ำตาลจนขึ้นฟูเป็นครีมขาว แล้วค่อยๆใส่ไข่ทีละฟอง ตีให้เข้ากัน จึงใส่แป้งสลับกับของเหลวโดยเริ่มต้นด้วยแป้งและต้องจบด้วยแป้ง การเติมแป้งลักษณะนี้เพื่อให้แป้งดูดซึมน้ำบางส่วนและป้องกันแป้งจับตัวเป็นก้อนผสมกันจนเนียนเรียบ

วิธีที่2.ผสมขั้นตอนเดียว

เป็นการผสมส่วนผสมทั้งหมด ยกเว้นไข่แล้วตีด้วยความเร็วสูงประมาณ 5 นาทีจึงใส่ไข่ ตีต่ออีก 5 นาทีด้วยความเร็วต่ำ วิธีนี้มักใช้กับแป้งสำเร็จรูป

วิธีที่3. แยกไข่ขาว-ไข่แดง

เป็นวิธีที่นิยมมาก เพราะจะได้เค้กที่มีปริมาณมาก โดยแยกไข่แดงและไข่ขาวไว้ก่อน แล้วตีเนยกับน้ำตาลจนขึ้นจึงใส่ไข่แดงทีละฟอง ตีผสมจนเข้ากันด้วยความเร็วต่ำ ใส่ส่วนผสมแป้งสลับกับของเหลว เติมกลิ่นตามต้องการ จากนั้นตีไข่ขาวครีมออฟทาร์ทาร์จนตั้งยอดอ่อนจึงค่อยๆ ใส่น้ำตาลอีกส่วนจนหมดและมีลักษณะตั้งยอดแข็ง ใส่ส่วนผสมแป้ง ตะล่อมเบาๆให้เข้ากัน

เค้กที่มีไข่เป็นส่วนผสมหลัก มี 2 วิธี คือ

วิธีที่1. แองเจิลฟูลเค้ก

เป็นเค้กที่ใช้ไข่ขาวตีกับน้ำตาลหนึ่งส่วนและใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไปด้วยเพื่อช่วยให้ฟองไข่ขาวอยู่ตัว ไม่เหลวเป็นน้ำ และทำทำให้เนื้อเค้กที่อบเสร็จมีสีขาวละเอียด ส่วนน้ำตาลอีกส่วนนำมาผสมกับแป้ง เกลือ แล้วนำไปผสมกับไข่ขาวที่ตีจนตั้งยอดแข็ง คนเบาๆ ให้เข้ากัน วิธีนี้จะไม่มีไขมัน เพราะฉะนั้นพิมพ์ที่ใช้ใส่ก็ต้องไม่ทาไขมัน
วิธีที่2. สปองจ์เค้ก

เป็นเค้กที่ใช้ไข่ทั้งฟองหรือใช้เฉพาะไข่แดง โดยตีไข่กับน้ำตาลด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งฟองไข่ละเอียดเป็นเนื้อสีขาว จึงใส่ส่วนผสมของแป้ง บางสูตรอาจมีนมและเนยละลายด้วย ซึ่งการเติมเนยละลายนั้นต้องเป็นเนยอุ่นๆ เพื่อป้องกันการยุบตัว และต้องใส่หลังจากผสมแป้งแล้วโดยคนเร็วๆ และเบา

ชิฟฟอนเค้ก
เป็นเค้กที่มีเนื้อเบาและนุ่ม มีวิธีการทำ 2 ขั้นตอน

ขั้นตอนที่1. แยกเอาไข่แดง - ไข่ขาว จากนั้นตีไข่ผสมกับแป้ง น้ำตาลหนึ่งส่วน ผงฟู เกลือน้ำมันพืช และน้ำ คนจนส่วนผสมเนียน

ขั้นตอนที่2. ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์หรือน้ำมะนาวพอขึ้น จึงค่อยๆใส่น้ำตาลอีกส่วน ตีจนฟองแข็งตัวตั้งยอดแข็งจึงใส่ส่วนผสมไข่แดงตะล่อมเบาๆจนเข้ากันดีขั้นตอนนี้สำคัญมากต้องผสมเบาๆมือ

ตำนานดอกกุหลาบ.....

กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม






ตำนานดอกกุหลาบในเมืองไทย




กุหลาบมาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เชีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดีมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีกกุหลาบเข้ามาเมืองไทยสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และที่แน่นอนอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่ากุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้งหอมรื่นชื่นชมสองนึกกระทงใส่พานทองหยิบรอจมูกเจ้าเนืองนองสังวาสก่ำเก้าบ่ายหน้าเบือน สำหรับตำนานดอกกุหลาบของไทยเล่ากันว่า เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งนางได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มากแต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาบให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา




กุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง สีไหนเกิดก่อน ?



มีหลายตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาวและกุหลาบสีแดงไว้แตกต่างกัน ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเอง หนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลยทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลายเป็นสีแดง เลยมีดอกกุหลาบสีแดงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่ากุหลาบสีแดงใน สวนอีเดน เกิดจาการจุมพิตของ อีฟ เจ้าดอกกุหลาบขาวที่หญิงสาวจุมพิต เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง นอกจากนี้ ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์ ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า

สีกุหลาบสื่อความหมาย


ในวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก ดอกกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ และของกำนัลของวันนี้ ดังนั้นเวลาที่คิดจะให้ดอกกุหลาบแก่ใครสักคน เราก็น่าจะรู้ความหมายของสีอันเป็นสื่อความหมายของดอกกุหลาบไว้บ้างก็น่าจะดี ซึ่งก็จะมีความดังนี้
- สีแดง ...สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ
- สีชมพู... สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์
- สีขาว ...สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง
- สีเหลือง ...สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ
- สีขาวและแดง ...สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
- กุหลาบตูม ...สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย