วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันตรษจีน

"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้

ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ"

ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย

ประวัติวันตรุษจีน หรือปีใหม่จีน
ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น

วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง

เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า
"Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน

อาหารไหว้เจ้า

-เม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชาย
-เกาลัด - มีความหมายถึง เงิน
-สาหร่ายดำ - คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย
-เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข
-หน่อไม้ - คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข เต้าหู้ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่งเป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข์


ความเชื่อโชคลางในวันตรุษจีน

-ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความหมายเป็นนัย และคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่

-หากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่ คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน

-การแต่งกายและความสะอาด ในวันตรุษจีนเราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ สีแดงถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี

-วันตรุษจีนกับความเชื่ออื่น ๆ สำหรับคนที่เชื่อโชคลางมากๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อ เป็นความเป็นสิริมงคล

-บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี

-การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ ถือเป็นโชคร้ายดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก

-ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรในวันตรุษเพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคงยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัวและเอกลักษณ์ของตน

15 วันแห่งการฉลองตรุษจีน

วันแรกของปีใหม่ เป็นการต้อนรับเทวดาแห่งสวรรค์และโลก หลายคนงดทานเนื้อ ในวันนี้ด้วยความเชื่อที่ว่าจะเป็นการต่ออายุและนำมาซึ่งความสุขในชีวิตให้กับตน

วันที่สอง ชาวจีนจะไหว้บรรพชนและเทวดาทั้งหลาย และจะดีเป็นพิเศษกับสุนัข เลี้ยงดูให้ข้าวอาบ น้ำให้แก่มัน ด้วยเชื่อว่า วันที่สองนี้เป็นวันที่สุนัขเกิด

วันที่สามและสี่ เป็นวันของบุตรเขยที่จะต้องทำความเคารพแก่พ่อตาแม่ยายของตน

วันที่ห้า เรียกว่า พูวู ซึ่งวันนี้ทุกคนจะอยู่กับบ้านเพื่อต้อนรับการมาเยือน ของเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ในวันนี้จะไม่มีใครไปเยี่ยมใครเพราะจะถือว่าเป็นการนำโชคร้าย มาแก่ทั้งสองฝ่าย

วันที่หก ถึงสิบชาวจีนจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของ ครอบครัว และไปวัดไปวาสวดมนต์เพื่อความร่ำรวยและความสุข

วันที่เจ็ด ของตุรุษจีนเป็นวันที่ชาวนานำเอาผลผลิตของตนออกมาชาวนาเหล่านี้จะทำน้ำที่ทำมาจากผักเจ็ดชนิดเพื่อฉลองวันนี้ วันที่เจ็ดถือเป็นวันเกิด ของมนุษย์ในวันนี้อาหารจะเป็น หมี่ซั่วกินเพื่อชีวิตที่ยาวนานและปลาดิบเพื่อความสำเร็จ

วันที่แปด ชาวฟูเจียน จะมีการทานอาหารร่วมกันกับครอบครอบอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนจะสวดมนต์ของพรจาก เทียนกง เทพแห่งสวรรค์

วันที่เก้า จะสวดมนต์ไหว้และถวายอาหารแก่ เง็กเซียนฮ่องเต้

วันที่สิบถึงวันที่สิบสอง เป็นวันของเพื่อนและญาติๆ ซึ่งควรเชื้อเชิญมาทานอาหารเย็น และหลังจากที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยความมัน วันที่สิบสามถือเป็นวันที่เราควรทานข้าวธรรมดากับผักดองกิมกิ ถือเป็นการชำระล้างร่างกาย

วันที่สิบสี่ ความเป็นวันที่เตรียมงานฉลองโคมไฟซึ่งจะมีขึ้น ในคืนของวันที่สิบห้าแห่งการฉลองตรุษจีน

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

น้ำส้ม น้ำผลไม้ยามเช้า



ปัจจัยที่ทำให้น้ำส้มคั้นเป็นเครื่องดื่มแห่งมื้อเช้า ก็คงด้วยรสเปรี้ยวหวานนั่นเอง ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกว่าส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งนอกจากช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิดแล้ว ยังเป็นแอนติออกซิแด้นท์ป้องกันมะเร็งหลายชนิด

น้ำส้มที่กล่าวถึงในที่นี้เป็นน้ำส้ม orange เท่านั้น โดยใช้ประเภทส้มหวาน (sweet orange) พันธุ์วาเลนเซียและพันธุ์นาเวิล ซึ่งมีขายทั่วไปตามซุปเปอร์มาเกต ส้มมีถิ่นฐานเดิมจากประเทศจีน แล้วจึงแพร่ไปในอินเดีย ตะวันออกกลาง เมดิเตอร์เรเนียนและยุโรป ส้มมีวิตามินซีสูงกว่าส้มเขียวหวานเล็กน้อย รสชาติหวานอมเปรี้ยวซึ่งแตกต่างจากส้มเขียวหวาน ใครอยากเปลี่ยนรสชาติบ้างก็น่าจะลองดื่มน้ำส้ม orange คั้นสดๆดู หรือจะผสมกับน้ำผลไม้อื่นๆก็ไม่เลว

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เกาะหลีเป๊ะ





เกาะหลีเป๊ะ เป็นหนึ่งในหลายๆ เกาะของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา ตั้งอยู่สุดเขตแดนใต้ อยู่ในกลุ่มของหมู่เกาะอาดัง - ราวี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะตะรุเตา ห่างเกาะตะรุเตา 45 กิโลเมตร ห่างจากฝั่งท่าเรือปากบารา 62 กิโลเมตร อยู่ใกล้ๆ กับเกาะอาดัง ลักษณะของเกาะเหมือนดังในภาพ ความยาวหัวถึงท้ายเกาะ 3 กิโลเมตร เกาะหลีเป๊ะ นี้ถึงแม้จะอยู่ในเขตอุทยานฯ แต่ว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นของชาวบ้านซึ่งอยู่อาศัยบนเกาะมาเป็นร้อยกว่าปีก่อนประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ ดังนั้นการจัดการพื้นที่บนเกาะจึงอยู่นอกเหนืออำนาจของอุทยาน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชุมชนบริการจัดการ โดยอุทยานแห่งชาติคอยดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว

หาดต่าง ๆ บนเกาะหลีเป๊ะ




หาดชาวเล

ตั้งอยู่บริเวณหน้าเกาะหลีเป๊ะ ทางทิศตะวันออกของเกาะ หาดชาวเลเป็นชายหาดทอดยาวหลายร้อยเมตร ร่มรื่นไปด้วยทิวมะพร้าวน้อยใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายตลอดแนวหาด สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้สวยงาม มองเห็นหน้าเกาะอาดังซึ่งอยู่ห่างเพียง 800 เมตร ได้อย่างดี มีบ้านเรือนชาวเลอาศัยอยู่กระจัดกระจายไม่หนาแน่น และมีรีสอร์ทที่พักริมหาดให้เลือกบริการพอสมควร

หาดพัทยา

ตั้งอยู่ทิศตะวันตกของเกาะ มีเส้นทางเดินเท้าจากหน้าเกาะมายังหาดพัทยา ชายหาดยาวเป็นโค้งเว้ารูปครึ่งวงกลม หาดขาวสะอาดตลอดแนว และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดของบรรดาเกาะทั้งหลายในทะเลสตูลก็ว่าได้ ถัดจากแนวหาดขึ้นไปเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทสไตล์บังกะโลหลายแห่งให้เลือกใช้บริการ บริเวณหน้าเกาะเป็นโขดหิน ที่พักที่ปลูกสร้างเป็นเนินจึึงชมทีวทัศน์ได้สวยงาม ชายหาดด้านนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก ในมื้อดินเนอร์จึงมีเสียงเพลงสากลขับกล่อม เพราะผู้คนที่มานั่งดื่ม-กินบนโต๊ะริมหาดเป็นฝรั่งเสียส่วนใหญ่ นอกจากมีที่พักแล้ว ยังมีร้านขายของชำ ร้านอาหาร ร้านให้เช่าอุปกรณ์ดำน้ำ และเรือหางยาวให้เช่าไปเที่ยวเกาะต่าง ๆ

เกาะหลีเป๊ะ จึงเป็นเสมือนศูนย์กลางการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาเที่ยวหมู่เกาะ อาดัง - ราวี เมื่อเรือโดยสารจากท่าเรือปากบาราบนฝั่งสตูลเดินทางมาถึงเกาะหลีเป๊ะในตอนเย็นแล้ว จะมีเรือหางยาวมารับ นักท่องเที่ยวไปยังหาดต่าง ๆ เพื่อเข้าพักตามรีสอร์ท เช้าวันใหม่จึงหาเรือหางยาวเช่าเหมาไปเที่ยวตามเกาะต่าง ๆ ซึ่งหากใช้เวลาตลอดวันก็สามารถเที่ยวได้หมดทุกเกาะแล้ว เพราะแต่ละเกาะอยู่ใกล้ ๆ กัน เช่น เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหินงาม เกาะจาบัง เกาะยาง เกาะรองกอย ฯลฯ ตกเย็นก็กลับมานอนที่เกาะหลีเป๊ะ แล้วรอเรือโดยสารกลับในวันถัดไป ช่วงเลาเวลาที่เหลือบนเกาะใครอยากนอนเล่นพักผ่อนริมชายหาด ลืมเรื่องราววุ่นวายไว้ชั่วขณะหนึ่ง



เกาะหลีเป๊ะ อยู่ทางตอนใต้ของเกาะอาดัง และเป็นที่อยู่อาศัยของชาวน้ำประมาณ 500 คน ซึ่งกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เกาะหลีเป๊ะอยู่บนเกาะลันตาในจังหวัดกระบี่ พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการประมง และการเพาะปลูกผัก ปลูกข้าวอยู่บนเกาะหลีเป๊ะ

เกาะหลีเป๊ะ อยู่นอกเขตอำนาจของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา ดังนั้นจึงได้รับการยกเว้นจากกฎหมายของอุทยานแห่งชาติ เกาะหลีเป๊ะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ ปัญหาขยะและการอนุรักษ์สัตว์มากขึ้นตามไปด้วย หนึ่งในเหตุผลที่จำนวนของนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวที่นี่เพิ่มมากขึ้นก็คือ รายการ "Tarutao Survivor" ซึ่งเป็นรายการที่นำเสนอการใช้ชีวิตบนหมู่เกาะตะรุเตา แบบเรียลลิตี้โชว์



เกาะหลีเป๊ะ ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายอุทยาน ดังนั้นจึงมีการจำกัดสถานที่สำคัญไว้ส่วนหนึ่งบนเกาะอาดัง บังกะโลหลายแห่งเริ่มก่อสร้างขึ้นในหมู่บ้านหลักๆ ตามแนวชายฝั่งตะวันออกและหาดพัทยา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะหลีเป๊ะ นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารและร้านค้าอีก 2 - 3 แห่งอีกด้วย คุณ สามารถเดินไป-มาระหว่างหมู่บ้านกับหาดพัทยา โดยใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาทีเท่านั้น หรือใช้บริการของเรือหางยาวที่บริการผู้โดยสาร เสียค่าใช้จ่ายคนละ 30 บาท

มีแนวปะการังอยู่ด้านใต้ของเกาะเล็กๆ และอ่าวเล็กๆ น้อยๆ มากมาย ชาวน้ำจะคอยให้บริการเช่าเรือเพื่อท่องเที่ยวไปยังเกาะรอบๆ ซึ่งเต็มไปด้วยแนวปะการังมากมาย

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

จันทบุรี
















-อ่าวคุ้งกระเบนฯ

-ป่าชายเลน มีสะพานเดินศึกษาธรรมชาติสร้างจากไม้ตะเคียนทอง ระยะทางยาว 850 เมตร ตัดผ่านป่าชายเลนมีไม้แสม ไม้ลำพูและโกงกางขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น เป็นแหล่งเพาะพันธุสัตว์น้ำที่สำคัญ ระหว่างทางจะได้พบกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเป็นต้นว่าปูเปี้ยว ปูก้ามดาบ ปูดีดขัน และปลาตีนด้วย

-Oasis Seaworld ไปดูปลาโลมา

-น้ำตกพริ้ว