วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คดีดังในอดีต

**นายห้างทอง

สาเหตุที่ทำให้เชื่อว่าเป็นการฆาตกรรมมีข้อสังเกต 13 ประเด็น

1.รอยร้าวที่กลางกระหม่อมยาว 11 เซนติเมตร ที่เกิดจากการทุบด้วยของแข็งก่อนที่จะถูกยิงตาย ซึ่งบาดแผลดังกล่าวตรวจพบในการผ่าชันสูตรศพครั้งที่ 2

2. ตามที่จำเลยอ้างว่าขณะเกิดเหตุเดินไปชงอาหารเสริมเนสวีต้า ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 15 เมตร จำเลยได้ยินเสียงคล้ายประทัด ใช้เวลาเดินกลับมาที่จุดเกิดเหตุประมาณ 40 วินาที ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทดลองยิงปืนในห้องเพื่อจำลองภาพ ปรากฏว่าได้ยินเสียงปืนดังชัดเจน แสดงว่าจำเลยให้การไม่ตรงกับความจริง

3. พบเขม่าดินปืนที่หลังมือผู้ตายน้อยกว่าในฝ่ามือ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ แสดงว่านายห้างทองไม่ได้กำปืนยิงตัวเอง

4. หลังนายห้างทองเสียชีวิต เขม่าปืนจะกระจายไปทั่วห้อง เมื่อตรวจคราบเขม่าที่มือจำเลย พบว่ามีจำนวนน้อยกว่าปกติ แสดงว่ามีการชำระล้างเพื่อทำลายหลักฐาน

5. เมื่อแกนสมองถูกทำลาย ปืนจะต้องล่วงลงพื้น ไม่ใช่กำปืนไว้

6. รอยคราบเลือดที่ผิดธรรมชาติ ทั้งที่ หน้าผาก ข้อพับแขนซ้าย และที่มือซ้ายของผู้ตายคล้ายกับมีคนไปสัมผัส

7. คราบเลือดที่พบบนพรมด้านซ้ายไม่สามารถระบุที่มาได้ อาจเกิดจากการที่บุคคลอื่นเข้าไปจัดศพแล้วเหยียบย่ำลงบนพรม

8. เลือดที่พบด้านซ้ายมีจำนวน 40-100 ซีซี ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที แต่จำเลยใช้เวลาเดินไปพบศพเพียง 40 วินาที จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

9. เศษอาหารในกระเพาะอาหารของนายห้างทอง พบเพียงเศษส้มเช้ง แต่ไม่พบเศษบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือชมพู่ ตามที่จำเลยอ้างว่านายห้างทองรับประทานเข้าไปก่อนเสียชีวิต

10. รอยนิ้วมือแฝงของบุคคลอื่นที่ขวดน้ำเปล่า จากการตรวจรอยนิ้วมือของพยานที่เกี่ยวข้องแล้วไม่ตรงกับใครเลย

11. พบรอยนิ้วมือของผู้ตายและจำเลยที่กระป๋องโค้กของผู้ตาย แต่น้ำในกระป๋องมีอยู่เต็ม แสดงว่ามีการสร้างหลักฐาน

12. ท่านั่งของนายห้างทองหลังถูกยิง เป็นท่าที่ผิดปกติ เอนตัวไปด้านหลัง แล้วเหยียดขาไปข้างหน้า ทั้งที่ก่อนเกิดเหตุ จำเลยเห็นนายห้างทองนั่งอยู่ในท่าปกติ

13.จำเลย (นายนพดล)อ้างว่าเปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นศพของนายห้างทองจึงร้องตะโกนบอกคนในบ้านว่านายห้างทองยิงตัวตาย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เดินเข้าไปดูศพอย่างใกล้ชิด แล้วทราบได้อย่างไรว่านายห้างทองยิงตัวตาย

ความเป็นมาของวันแม่

ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว
สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง

ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา

เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย...

นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป , บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น

ภาษาไทย แม่

ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า

ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)

ภาษาอังกฤษ mom , mam

ภาษาโซ่ ม๋เปะ

ภาษามุสลิม มะ

ภาษาไทใต้คง เม

เป็นต้น