วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วัยรุ่นไทยเกินครึ่ง สนใจการทำศัลยกรรมความงาม




ผลสำรวจเด็กดีโพลพบว่า ปัจจุบัน ศัลยกรรมความงามไม่เพียงได้รับความสนใจแพร่หลายและเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่เชื่อถือได้ ทำให้การทำศัลยกรรมความงามไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างเมื่อก่อนเท่านั้น แต่ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจกว่าคือ เยาวชนไทยสนใจทำศัลยกรรมความงามมากถึง 57.77% หมายถึงกลุ่มคนที่สนใจและเริ่มทำศัลยกรรมความงามมีอายุเฉลี่ยลดลง หรือหมายถึงคนที่มีอายุน้อยเริ่มสนใจทำศัลยกรรมมากขึ้นนั่นเอง โดยจากการสำรวจแยกตามช่วงอายุพบว่า เยาวชนไทยช่วงอายุ 18-22 ปี เป็นกลุ่มที่สนใจทำศัลยกรรมความมากที่สุดถึง 68.88%
เมื่อสอบถามเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำศัลยกรรมพบว่า เยาวชน 59.82% ให้ความไว้วางใจในความปลอดภัยจากการศัลยกรรมความงาม นั่นหมายความว่า ปัจจุบันวัยรุ่นมีทัศนคติที่ดีต่อการศัลยกรรมเสริมความงามมากขึ้น ทั้งในด้านของการให้การยอมรับต่อตัวผู้ทำศัลยกรรมความงาม และความเชื่อถือในตัวศัลยแพทย์อีกอีกด้วย


"จมูก" เป็นอวัยวะที่นิยมศัลยกรรมความงามมากที่สุด
ปัจจุบัน อวัยวะชิ้นเล็กแต่โดดเด่นที่สุดในใบหน้าอย่างจมูก กลับได้รับความนิยมในการทำศัลยกรรมมากที่สุด โดยพบว่า ในกลุ่มเยาวชนที่เคยทำศัลยกรรมเสริมความงามนั้น มีเยาวชนที่เคยทำศัลยกรรมจมูกแล้วถึง 59.25% รองลงไปคือการลบรอยแผลเป็น รักษาผิวหรือทำหน้าใส 46.82% ขณะที่อวัยวะที่เคยได้รับความนิยมและตกเป็นข่าวดังจากผลข้างเคียงของการศัลยกรรมในช่วงหนึ่งอย่างการเสริมหน้าอกมีเพียง 1.73% เท่านั้น
แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันแม้ทัศนคติของวัยรุ่นต่อการทำศัลยกรรมความงามจะมีแนวโน้มที่ดีและได้รับความสนใจมากขึ้น แต่การตัดสินใจทำหรือไม่ทำนั้น ก็ยังขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคมว่า ต้องสวย ต้องดูดี จึงจะได้รับความสนใจ ดังที่สังเกตได้จากการสำรวจเหตุผลของการตัดสินใจทำศัลยกรรมความงามที่พบว่า เยาวชนไทย 81.82% ตัดสินใจทำศัลยกรรมความเพราะต้องการให้ตนเองดูดีขึ้น




วัยรุ่นไทยเกือบครึ่ง "อยากทำ" แต่ยังหวั่น "ผลกระทบ"
แม้ว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่จะให้ความสนใจในการทำศัลยกรรมความงาม โดยเชื่อถือในมาตรฐานและความปลอดภัย แต่อย่างไรก็ดี ยังมีวัยรุ่นอีกเกือบครึ่งที่สนใจทำศัลยกรรมความงามแต่ยังกังวลต่อผลกระทบและผลข้างเคียงที่ตามมา โดยมีวัยรุ่นถึง 41.42% ที่ยังไม่สนใจทำศัลยกรรมความงามเพราะกลัวอันตราย ขณะที่ มีเพียงส่วนน้อยที่ให้เหตุผลของการไม่ทำศัลยกรรมความงามว่ากลัวไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม
นั่นแสดงให้เห็นว่า ความไม่มั่นใจในความปลอดภัยรวมถึงการที่สังคมไม่ยอมรับดังกล่าว อาจเป็นผลมาจากข่าวผลข้างเคียงและผลกระทบจากการทำศัลยกรรมความงามที่ถูกนำเสนอออกมาเป็นระยะ เช่น ข่าวการเสพติดศัลยกรรม ข่าวการฉีดสารบางอย่างเข้าร่างกายโดยไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ ข่าวผลกระทบต่างๆ จากการศัลยกรรมผิดกฎหมาย หรือไม่ได้มาตรฐานและความปลอดภัย รวมถึงการไม่มีกฎหมายบังคับเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมกระทั่งก่อให้เกิดคดีความหลากหลายตามมา รวมถึงกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่ทำศัลยกรรมความงามว่าทำแล้วดีหรือไม่ดี




วัยรุ่นเชื่อ "หมอเก่ง" และศัลยกรรมความงามทำให้ "ดูดีขึ้น"
จากการสอบถามความคิดเห็นของวัยรุ่นที่ทำศัลยกรรมความงามแล้วพบว่า ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมความงามได้มีการค้นคว้าข้อมูลและสอบถามผู้รู้จนแน่ใจ โดยยอมรับว่าตัดสินใจทำเพราะเชื่อว่าจะช่วยเสริมบุคลิก ทำให้ตนเองดูดีขึ้น ทั้งนี้ได้มีการปรึกษาผู้ปกครองก่อน ส่วนผลที่ออกมาหลังจากทำศัลยกรรมความงามแล้ว โดยรวมมีความพอใจ แต่หากจะให้แนะนำผู้อื่นต่อ คงให้เพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจ แต่จะไม่ชี้นำ
ด้านวัยรุ่นที่ไม่ได้ทำศัลยกรรมและไม่คิดจะทำให้ความเห็นว่ากลัวเจ็บ และกังวลว่าผลจะออกมาไม่ดีอย่างที่คิด แต่ทั้งนี้ก็เชื่อว่า สมัยนี้แพทย์มีความชำนาญและน่าเชื่อถือมากขึ้น

มี "ตัวอย่าง" จึงอยากทำ หรือไม่อยากทำตาม "ตัวอย่าง"
อย่างไรก็ดี ความคิดเห็นของเยาวชนไทยที่เข้ามาทำการสำรวจโพลครั้งนี้ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการทำศัลยกรรมเสริมความงาม ซึ่งผู้ที่เห็นด้วยยอมรับว่า การทำศัลยกรรมเสริมความงามแทบจะถือว่าเป็นเรื่องปกติในสังคมปัจจุบัน อีกทั้งให้ความสำคัญกับใบหน้าเป็นหลัก โดยเลือกทำศัลกรรมที่ใบหน้าก่อน รวมถึงผิวพรรณก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยกลุ่มที่เห็นด้วยให้ความเชื่อถือในความปลอดภัยจากการทำศัลยกรรมเสริมความงาม โดยบางส่วนมีตัวอย่างมาจากการทำศัลยกรรมเสริมความงามของศิลปินดาราที่ทำแล้วดูดีขึ้น ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยนั้น กังวลถึงอันตรายเป็นหลัก อาจเพราะ มีตัวอย่างจากผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการทำศัลยกรรมความงาม ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว อีกทั้งยังมองว่าไม่มีความจำเป็น และยังเป็นความสิ้นเปลือง เนื่องจากไม่มีความจำเป็นในการใช้รูปร่างหน้าตาในการประกอบอาชีพเหมือนศิลปินดารา ทั้งนี้ศิลปินดาราต่างก็มีความโดดเด่นอยู่แล้ว จึงยากที่จะเลียนแบบ อีกทั้งการทำศัลยกรรมความงามนั้น ยังต้องคำนึงถึงโครงสร้างร่างกายเป็นหลักอีกด้วย อย่างไรก็ดี จากผลสำรวจดังกล่าวประกอบกับความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องยืนยันได้ว่า แม้ทัศนคติของเยาวชนไทยต่อการทำศัลยกรรมจะเปลี่ยนแปลงไปและมีแนวโน้มว่าจะเริ่มทำกันมากขึ้น แต่ด้านแพทย์ก็ไม่ละทิ้งเรื่องของมาตรฐานและความปลอดภัย ส่วนผู้ที่สนใจจะทำก็มีการค้นคว้าข้อมูลประกอบเพิ่มขึ้น อีกทั้งส่วนมากยังอยู่ในความยินยอมของผู้ปกครอง ดังนั้น สิ่งที่น่ากังวลในลำดับต่อไปคงไม่ใช่เรื่องของผลกระทบจากการทำศัลยกรรมเสริมความงาม แต่เป็นค่านิยมของสังคมปัจจุบันว่า คนที่ดูดี หน้าตาดี เท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและดูแลอย่างใกล้ชิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น